
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า กกร. ยังคงประมาณการตัวเลขการส่งออกไว้ที่ 2-3% โดยมีปัจจัยกดดันสำคัญจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า
กกร. จึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันเชื่อมโยงข้อมูล เร่งแยกแยะและวิเคราะห์ผลกระทบของธุรกรรมเหล่านี้ต่อภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) พร้อมทั้งพิจารณามาตรการเชิงโครงสร้างเพื่อสร้างสมดุลในระยะยาว ที่ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่า อาทิ การจัดตั้งกองทุน Sovereign Wealth Fund เพื่อเป็นกลไกเพิ่มเติมตอบโจทย์กับกิจกรรมการเคลื่อนย้ายเงินทุน ไม่ยึดติดกับผลิตภัณฑ์เดิม รองรับและบริหารความผันผวนอย่างเป็นระบบ
อย่างไรก็ดี ภาคเอกชนเห็นว่าหากสามารถดูแลเสถียรภาพและทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ตัวเลขการส่งออกปรับตัวสูงขึ้นได้ รวมถึงการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ดังนั้น กกร. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และทบทวนประมาณการการส่งออกอีกครั้งในการประชุมเดือนหน้า
ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 68 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 1.8-2.2% ตามที่ประเมินไว้เดิม อย่างไรก็ดี หากสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 69 ให้ได้ราว 1 ใน 3 ของงบประมาณภายในสิ้นปีนี้ กระตุ้นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศให้ไปถึง 34 ล้านคน ควบคู่ไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคนละครึ่งพลัส สนับสนุน SMEs และ Made In Thailand ตามแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 68 ให้โตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่โต 2.5%
นายพจน์ กล่าวว่า สำหรับการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาก็เป็นไปในแนวทางเดียวกับที่ทั้ง 3 องค์กรของ กกร.ได้นำเสนอต่อรัฐบาลไปแล้ว และภาคเอกชนพร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล
“เสถียรภาพทางการเมืองในขณะนี้อย่างน้อยก็มีรัฐบาลที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ดีกว่ารัฐบาลรักษาการที่รอถูกถอดถอนที่ไร้ เสถียรภาพ และมีนโยบายที่จะขับเคลื่อนในช่วงเวลา 4 เดือน” นายพจน์ กล่าว
พร้อมกันนี้ กกร. ยังยืนยันความพร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลอย่างเต็มที่ในช่วงระยะเวลาก่อนการเลือกตั้ง เพื่อให้มาตรการด้านเศรษฐกิจไม่สะดุด และสามารถสร้างความต่อเนื่องในการพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน โดย กกร. ได้เสนอร่างพิมพ์เขียว เวที “Reinvent Thailand” เพื่อเป็นกรอบการทำงานที่รวดเร็วและคล่องตัวเหมาะสมกับบริบทโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง ในการฟื้นฟูและยกระดับเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
ส่วนกรณีที่บริษัทจัดอันดับเครดิต 2 แห่งออกมาเตือนเกี่ยวกับสถานภาพทางเศรษฐกิจนั้นก็เป็นเรื่องที่ กกร.ได้ตระหนักมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งหากทุกภาคส่วนร่วมมือกันแก้ไขปัญหาแล้ว นอกจากจะไม่ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือแล้วยังเชื่อว่าจะส่งผลให้สถานภาพทางเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นและสืบเนื่องจาก Problem Statement ของข้อเสนอ Reinvent Thailand กกร.จึงให้ความสำคัญกับสถานการณ์คอร์รัปชันในประเทศไทยที่ยังคงอยู่ในระดับรุนแรงและเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างชาติ
“กกร.เตรียมแถลงดัชนีคอร์รัปชันในต้นปีหน้า หากเราไม่ทำอะไรเลยจะส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจชะงักงัน ถึงเวลาที่ต้องทำอย่างจริงจังแล้ว นายพจน์ กล่าว
นอกจากนี้ กกร. อให้มีการทบทวน ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฯ และขอให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมาธิการในการพิจารณาร่างฯ ดังกล่าว เพื่อสะท้อนความเห็นและมุมมองต่อการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง รวมทั้ง ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและภาพรวมเศรษฐกิจไทย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ต.ค. 68)