
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 32.44 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจาก ปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 32.35 บาท/ดอลลาร์ โดยค่าเงินในภูมิภาคเคลื่อนไหวแบบผสม ขณะที่ดอลลาร์เคลื่อนไหวอย่างไร้ทิศทาง หลัง จากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ เกิดภาวะชัตดาวน์ ด้านตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนที่ประกาศออกมาเมื่อคืนแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ตลาดยังติดตามความคืบหน้าการออกมาตรแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า รวมถึงนโยบายของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่
“บาทอ่อนค่าจากเย็นวานนี้ แต่ตลาดอาจเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน เนื่องจากภาวะชัตดาวน์ส่งผลให้ไม่มีการประกาศ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น การจ้างงานนอกภาคเกษตร” นักบริหารเงิน กล่าว
นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 32.30 – 32.55 บาท/ดอลลาร์
ปัจจัยสำคัญ
- เงินเยน อยู่ที่ระดับ 147.27 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 147.11 เยน/ดอลลาร์
- เงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.1725 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.1730 ดอลลาร์/ยูโร
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท. อยู่ที่ระดับ 32.444 บาท/ดอลลาร์
- “ฟิทช์” เผยหั่นแนวโน้มเครดิตไทยสะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อฐานะการคลังจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายที่ยืดเยื้อ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวฟื้นช้า
- “รัฐมนตรีเศรษฐกิจ” ทยอย มอบนโยบายให้ข้าราชการ “เอกนิติ” เร่ง Quick Big Win ดันเครื่องยนต์เศรษฐกิจไตร มาส 4 พ้นหล่ม ตั้งเป้า GDP ขยับ 0.2-0.4% กระตุ้นบริโภค “ศุภจี” ลุยเจรจาภาษีทรัมป์จบปีนี้ ดันส่งออกปีนี้ 6-7% ทะลุ 12 ล้านล้าน สูงเป็นประวัติการณ์
- รมว.คลัง เปิดเผยแนวทางที่มีการเสนอให้เก็บภาษีทองคำเพื่อลดการเก็งกำไร และทำให้ค่าเงินบาทสูงขึ้นว่าจากข้อมูล การส่งออกทองคำไปกัมพูชา ตลอด 8 เดือนปีนี้ มีมูลค่าเพียง 6-7 หมื่นล้านบาท และเมื่อแปลงเป็นดอลลาร์แล้วตกเพียง 2,000 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเงินทุนไหลเข้า ซึ่งไม่น่าใช่สาเหตุหลักที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า
- ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ ลดลง 32,000 ตำแหน่งใน เดือนก.ย. ซึ่งเป็นการทรุดตัวของการจ้างงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่ง หรือนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2566 และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาด ว่าอาจเพิ่มขึ้น 52,000 ตำแหน่ง
- ข้อมูลแรงงานที่อ่อนแอเป็นปัจจัยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยล่าสุด FedWatch ของ CME Group ระบุว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 99% ต่อการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 28-29 ต.ค.
- หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะชัตดาวน์อย่างเป็นทางการแล้วในวันพุธที่ 1 ต.ค. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ เกือบ 7 ปี และครั้งที่ 3 ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันไม่สามารถตกลงกันได้ เกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณชั่วคราวที่จะช่วยให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางหลีกเลี่ยงการถูกชัตดาวน์
- การชัตดาวน์ส่งผลให้กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยข้อมูลเศรษฐกิจที่จะได้รับผล กระทบได้แก่ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานซึ่งมีกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 2 ต.ค., ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่มีกำหนดเผยแพร่ใน วันที่ 3 ต.ค. และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่มีกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 15 ต.ค.
- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (1 ต.ค.) หลังมีรายงานว่าตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนปรับตัวลงมากกว่าคาด ซึ่งทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเดิน หน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังถูกกดดันจากความกังวลว่าการที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกปิดดำเนินการเนื่องจาก ขาดงบประมาณ หรือชัตดาวน์ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศ
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (1 ต.ค.) และทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุน จากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยหลังจากหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกปิดดำเนินการ เนื่องจากขาดงบประมาณ หรือชัตดาวน์ นอกจากนี้ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนที่อ่อนแอเกินคาดยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย
- นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ปิดดำเนินงานเนื่องจากขาดงบประมาณ หรือชัตดาวน์ โดย คาดว่าการชัตดาวน์อาจจะกินเวลาอย่างน้อย 3 วัน เนื่องจากวุฒิสภาสหรัฐฯ จะงดการประชุมในวันนี้เนื่องในเทศกาลยมคิปปูร์ (Yom Kippur) หรือเทศกาลลบมลทินบาปตามความเชื่อของชาวยิว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนกังวลว่าการชัตดาวน์อาจจะยืดเยื้อนานถึง 2 สัปดาห์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ต.ค. 68)