ทองปิดพุ่ง $67.4 ทำนิวไฮ รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย-เก็งเฟดหั่นดบ.

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันจันทร์ (6 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ยังส่งผลให้ทองคำมีความน่าดึงดูดในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

  • ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 67.4 ดอลลาร์ หรือ 1.72% ปิดที่ 3,976.30 ดอลลาร์/ออนซ์

นักวิเคราะห์จากบริษัท Marex กล่าวว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองในฝรั่งเศส รวมทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นที่พุ่งขึ้นท่ามกลางความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และการที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงปิดทำการ หรือชัตดาวน์ ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทองคำ

เซบาสเตียน เลอกอร์นู นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส ประกาศลาออกในวันจันทร์ เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังเข้ารับตำแหน่ง ส่งผลให้ฝรั่งเศสตกอยู่ในความวุ่นวายทางการเมืองอีกครั้ง

เลอกอร์นูเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อต้นเดือนก.ย. ที่ผ่านมา ท่ามกลางความท้าทายในการรวมเสียงรัฐสภาที่แตกแยกเพื่อให้ผ่านงบประมาณปี 2569 หลังรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ไม่สามารถออกงบประมาณที่ระบุรายละเอียดการลดรายจ่ายและการปรับขึ้นภาษี โดยเลอกอร์นูนับเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 5 ของฝรั่งเศสในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี ซึ่งการลาออกของเขาเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เมื่อวันอาทิตย์ (5 ต.ค.)

หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกชัตดาวน์เป็นวันที่ 6 แล้ว ขณะที่เควิน แฮสเซตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของทำเนียบขาวเตือนว่า อาจจะมีการปลดพนักงานจำนวนมาก หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และสมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณชั่วคราว

ราคาทองคำพุ่งขึ้น 50% แล้วนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ซึ่งเป็นการทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ตลอดจนการเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องของธนาคารกลาง ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย และการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 94.6% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนต.ค.

นักวิเคราะห์ของ UBS คาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะยังคงปรับตัวขึ้นต่อไป และมีแนวโน้มแตะระดับ 4,200 ดอลลาร์/ออนซ์ภายในสิ้นปีนี้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ต.ค. 68)