
ฤดูกาลประกาศรางวัลโนเบลกลับมาอีกครั้ง และถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญที่คนทั่วโลกต่างก็จับตาว่าใครสมควรจะได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ สำหรับรางวัลโนเบลประจำปี 2025 นั้น คณะกรรมการโนเบลแห่งนอร์เวย์จะประกาศรางวัลตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม ไปจนถึงวันที่ 13 ตุลาคม ซึ่งประกอบไปด้วยสาขาการแพทย์ ฟิสิกส์ เคมี วรรณกรรม สันติภาพ และเศรษฐศาสตร์
การประกาศรางวัลโนเบลในปีนี้ทั่วโลกมุ่งความสนใจไปที่สาขาสันติภาพ เนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีกระดูกเหล็กแห่งสหรัฐอเมริกาได้รับเสียงเชียร์จากหลายฝ่ายว่า สมควรจะได้รับรางวัลสาขานี้ ขณะที่ทรัมป์เองก็แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความปรารถนาที่จะคว้ารางวัลอันเลอค่านี้ เช่นเดียวกับที่อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา เคยครอบครองรางวัลสาขาสันติภาพในปี 2009
กำหนดการประกาศรางวัลโนเบลปี 2025
คณะกรรมการโนเบลแห่งนอร์เวย์จะทำการถ่ายทอดสดพิธีประกาศรางวัลโนเบลประจำปี 2025 ผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างเป็นทางการ โดยกำหนดการสำหรับการประกาศรางวัลในปี 2025 มีดังนี้:
วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม ประกาศรางวัลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์
วันอังคารที่ 7 ตุลาคม ประกาศรางวัลสาขาฟิสิกส์
วันพุธที่ 8 ตุลาคม ประกาศรางวัลสาขาเคมี
วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม ประกาศรางวัลสาขาวรรณกรรม
วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม ประกาศรางวัลสาขาสันติภาพ
วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม ประกาศรางวัลสาขาเศรษฐศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น-อเมริกัน ประเดิมคว้ารางวัลโนเบลสาขาการแพทย์
ในวันจันทร์ที่ 6 ตุลาคมซึ่งเป็นวันแรกของการประกาศรางวัลโนเบล นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ประเดิมคว้ารางวัลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ซึ่งได้แก่ศาสตราจารย์ชิมอน ซากากุจิ นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น และแมรี อี.บรังเคา และ เฟรด แรมส์เดล ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน จากผลงานการค้นพบเชิงปฏิวัติที่ช่วยอธิบายกลไกการควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
คณะกรรมการรางวัลโนเบลแถลงว่า การค้นพบของบุคคลทั้ง 3 ได้นำไปสู่การก่อกำเนิดแขนงวิทยาการด้านกลไกของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานในอวัยวะส่วนนอกของร่างกาย (peripheral tolerance) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญต่อการพัฒนายารักษาโรคมะเร็งและโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (autoimmune disease)
ศาสตราจารย์ซากากูจิ จากมหาวิทยาลัยโอซากา เป็นผู้ค้นพบว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Regulatory T cell หรือ Treg มีหน้าที่ควบคุมไม่ให้เซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดอื่นโจมตีเซลล์ปกติของร่างกายที่บางครั้งอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม โดยศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นวัย 74 ปีผู้นี้ เป็นผู้เสนอทฤษฎีว่า ร่างกายควรมีเซลล์ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ยับยั้งการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่มากเกินไป โดยอ้างอิงจากการทดลองในหนูที่พบว่า หากตัดต่อมไทมัส ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันออก หนูจะเกิดโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง
แม้แนวคิดของศาสตราจารย์ซากากูจิจะถูกคัดค้านจากนักวิทยาศาสตร์หลายคนในช่วงแรก แต่เขาก็ยังคงเดินหน้าวิจัย จนค้นพบโมเลกุลเฉพาะของเซลล์ Treg ได้สำเร็จในปี 1995
ส่วน แมรี อี. บรังเคา และเฟรด แรมส์เดล นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐฯ พบการกลายพันธุ์ของยีนที่ทำให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง และซากากุจิเป็นผู้ยืนยันในภายหลังว่า ยีนดังกล่าวควบคุมการสร้างเซลล์ที่เขาค้นพบเมื่อปีพ.ศ. 2538
ทั้งนี้ นับเป็นปีที่สองติดต่อกันที่มีชาวญี่ปุ่นหรือกลุ่มนักวิจัยจากญี่ปุ่นได้รับรางวัลโนเบล หลังจากที่ปีที่แล้ว นิฮง ฮิดังเคียว (Nihon Hidankyo) ซึ่งเป็นองค์กรของผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูในญี่ปุ่นได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ส่งผลให้ปัจจุบัน ญี่ปุ่นมีผู้ได้รับรางวัลโนเบลแล้วทั้งสิ้น 30 ราย
3 นักวิทยาศาสตร์ควอนตัมอเมริกัน คว้ารางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์
ในวันที่ 7 ตุลาคมซึ่งเป็นวันที่สองของการประกาศรางวัลโนเบลปรากฏว่า ศาสตราจารย์จอห์น คลาร์ก, มิเชล เดโวเรต์ และจอห์น มาร์ตินิส ซึ่งเป็น 3 นักวิทยาศาสตร์ควอนตัมจากสหรัฐฯ สามารถคว้ารางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ จากผลการทดลองที่แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติที่น่าทึ่งของโลกควอนตัม โดยผลการทดลองบ่งชี้ว่าอนุภาคควอนตัมสามารถสร้างขึ้นในระบบที่มีขนาดใหญ่พอที่จะถืออยู่ในมือได้ ระบบไฟฟ้าตัวนำยิ่งยวด (superconducting electrical system) ของนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ได้สร้างปรากฏการณ์ การลอดอุโมงค์ควอนตัม (quantum tunnelling) จากสถานะหนึ่งไปยังอีกสถานะหนึ่งได้ ราวกับมันกำลังทะลุผ่านกำแพงไปตรง ๆ นอกจากนี้ พวกเขายังแสดงให้เห็นว่าระบบดังกล่าวมีการดูดซับและปล่อยพลังงานในปริมาณที่เฉพาะเจาะจงตามที่กลศาสตร์ควอนตัม (quantum mechanics) ทำนายไว้
ทั้งนี้ กลศาสตร์ควอนตัมอธิบายถึงคุณสมบัติที่มีความสำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับอนุภาคเดี่ยว (single particle) โดยในบริบทของฟิสิกส์ควอนตัมนั้น ปรากฏการณ์เหล่านี้เรียกว่า จุลภาค (microscopic) แม้ว่าพวกมันจะเล็กเกินกว่าที่จะมองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ก็ตาม ซึ่งแตกต่างจากปรากฏการณ์มหภาค (macroscopic) ที่ประกอบด้วยอนุภาคจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น ลูกบอลที่เราใช้ในชีวิตประจำวันประกอบด้วยโมเลกุลจำนวนมหาศาล และไม่แสดงผลกระทบทางกลศาสตร์ควอนตัมใด ๆ โดยเรารู้ว่าลูกบอลจะเด้งกลับทุกครั้งที่ถูกโยนใส่กำแพง อย่างไรก็ตาม อนุภาคเดี่ยวจะสามารถทะลุผ่านสิ่งกีดขวางที่เทียบเท่ากัน และปรากฏอยู่อีกด้านหนึ่งได้ในบางครั้ง ปรากฏการณ์ทางกลศาสตร์ควอนตัมนี้เรียกว่า การลอดอุโมงค์ควอนตัม
ทั้งนี้ รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปีนี้ได้ยกย่องการทดลองที่แสดงให้เห็นว่า การลอดอุโมงค์ควอนตัมสามารถสังเกตเห็นได้ในระดับมหภาคซึ่งเกี่ยวข้องกับอนุภาคจำนวนมาก โดยจอห์น คลาร์ก, มิเชล เดโวเรต์ และจอห์น มาร์ตินิส ได้ทำการทดลองเหล่านี้หลายครั้งที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (University of California, Berkeley) ในปีค.ศ. 1984 และ 1985
ทั่วโลกจับตาการประกาศสาขาสันติภาพวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม วัดดวง “ทรัมป์” คู่ควรโนเบลหรือไม่
คณะกรรมการโนเบลแห่งนอร์เวย์ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 5 รายที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐสภานอร์เวย์ จะประกาศชื่อผู้ชนะรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2025 ที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ในวันศุกร์ที่ 10 ต.ค. เวลา 16.00 น.ตามเวลาไทย โดยในปีนี้มีผู้ได้รับการเสนอชื่อมากถึง 338 ราย ซึ่งผู้ชนะรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจะได้รับเหรียญรางวัลโนเบล ประกาศนียบัตร รวมทั้งเงินรางวัลจำนวน 11 ล้านโครนาสวีเดน (1.19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือราว 39 ล้านบาท
ที่ผ่านมานั้น ผู้คว้ารางวัลโนเบลเป็นบุคคลที่มาจากหลากหลายองค์กร ไม่ว่าจะเป็นองค์กรด้านมนุษยธรรม หน่วยงานของสหประชาชาติ หรือบางครั้งก็เป็นผู้ที่คาดไม่ถึง ตัวอย่างเช่นผู้ชนะรางวัลโนเบลในปีที่แล้วคือ Nihon Hidankyo ซึ่งเป็นองค์กรของผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูในญี่ปุ่น โดยภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์ถือเป็นประเด็นที่คณะกรรมการโนเบลให้ความสำคัญมาโดยตลอด
การประกาศรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปีนี้ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากทั่วโลกมุ่งความสนใจไปที่โดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากมีกระแสเชียร์จากบรรดาผู้นำทั่วโลกว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้นี้สมควรได้ครอบครองรางวัล โดยเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลกล่าวในระหว่างการเยือนทำเนียบขาวในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมว่า เขาได้เสนอชื่อทรัมป์ให้เข้ารับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปีนี้ ด้วยเหตุว่า สหรัฐฯ ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังผลักดันให้เกิดการหยุดยิงในฉนวนกาซา
ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม เนทันยาฮูกล่าวว่า ทรัมป์กำลังสร้างสันติภาพในประเทศแล้วประเทศเล่า และในภูมิภาคแล้วภูมิภาคเล่า เขาจึงส่งจดหมายไปยังคณะกรรมการรางวัลโนเบลเพื่อเสนอชื่อทรัมป์ให้ได้รับรางวัลสันติภาพ เพราะเป็นสิ่งที่ทรัมป์ควรได้รับอย่างยิ่ง ขณะที่ทรัมป์ตอบกลับอย่างปลาบปลื้มว่า คำพูดที่มาจากนายกรัฐมนตรีอิสราเอล ถือว่ามีความหมายอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านั้นในเดือนมิถุนายน ผู้นำปากีสถานได้ประกาศว่าจะเสนอชื่อทรัมป์เพื่อรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเช่นกัน หลังจากที่ทรัมป์สามารถปิดจ๊อบสงบศึกระหว่างปากีสถานกับอินเดียได้สำเร็จในเดือนพฤษภาคม หลังจากทั้งสองประเทศเพื่อนบ้านได้เปิดศึกปะทะกันจนเหตุการณ์บานปลาย โดยมีชนวนเหตุจากการกราดยิงนักท่องเที่ยวเสียชีวิตที่บริเวณดินแดนแคชเมียร์ ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทระหว่างสองประเทศ
เชห์บาซ ชารีฟ นายกรัฐมนตรีปากีสถานกล่าวยกย่องทรัมป์ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) เมื่อวันที่ 27 กันยายน โดยเชิดชูทรัมป์ว่าเป็น “บุรุษแห่งสันติภาพ” แถมยังเสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในฐานะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้เกิดการหยุดยิงระหว่างอินเดียและปากีสถาน
“แม้อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบ แต่ปากีสถานก็ยอมรับข้อเสนอหยุดยิงจากผู้นำที่กล้าหาญและเข้มแข็งอย่างประธานาธิบดีทรัมป์ เราขอแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อเขาและทีมงาน สำหรับบทบาทเชิงรุกในการนำพาการหยุดยิงให้เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยกย่องคุณูปการอันยอดเยี่ยมของปธน.ทรัมป์ในการส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค ปากีสถานจึงขอเสนอชื่อปธน.ทรัมป์เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ นี่คือสิ่งเล็กน้อยที่สุดที่เราสามารถทำเพื่อเขา เพราะเขาเป็นบุรุษแห่งสันติภาพอย่างแท้จริง” นายกรัฐมนตรีปากีสถานกล่าวในที่ประชุม UNGA ในวันดังกล่าว
นอกเหนือจากอิสราเอลและปากีสถานแล้ว บรรดาผู้นำของอีกหลายประเทศได้ออกมาสนับสนุนทรัมป์ให้ได้รับรางวัลโนเบลเช่นกัน … และที่น่าสนใจคือผู้นำประเทศเพื่อนบ้านของไทยเราอย่าง ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ยื่นจดหมายถึงคณะกรรมการโนเบลเพื่อเสนอชื่อทรัมป์เข้ารับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม โดยให้เหตุผลถึงบทบาทสำคัญในการคลี่คลายความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
“การเสนอชื่อครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนความซาบซึ้งส่วนตัวของข้าพเจ้า แต่ยังเป็นความรู้สึกขอบคุณจากใจจริงของประชาชนชาวกัมพูชา” ฮุน มาเนต ระบุในจดหมายที่ส่งถึงคณะกรรมการโนเบล พร้อมกับยกย่องบทบาททางการทูตอันโดดเด่นและเปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ของทรัมป์ ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอัลเฟรด โนเบล
ล่าสุด Politico สื่อออนไลน์ของสหรัฐฯ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ทำเนียบขาวได้แจ้งต่อทางการมาเลเซียว่า ทรัมป์มีความยินดีที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ครั้งที่ 47 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 26-28 ตุลาคมนี้ หากเขาได้รับอนุญาตให้เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งจะจัดขึ้นนอกรอบการประชุมดังกล่าว
ทั้งนี้ หากได้รับการอนุมัติ พิธีดังกล่าวจะเป็นเวทีสำคัญสำหรับทรัมป์ในการแสดงบทบาทในฐานะบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการยุติความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา
ทรัมป์ออกตัวแรง … ถ้าไม่ได้โนเบล ถือเป็นการดูหมิ่นอเมริกา
ทรัมป์ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งถึงความปรารถนาที่จะครอบครองรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โดยในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) สมัยสามัญครั้งที่ 80 เมื่อวันที่ 23 กันยายน ทรัมป์กล่าวว่าเขาสามารถยุติสงครามใน 7 สมรภูมิทั่วโลก นับตั้งแต่ที่เขากลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่ 2
“ทุกคนพูดว่า ผมควรได้รับรางวัลโนเบล แต่สำหรับผมแล้ว รางวัลที่แท้จริงคือการที่บรรดาลูกชายลูกสาวจะได้มีชีวิตเติบโตขึ้นมา เพราะผู้คนนับล้านไม่ต้องถูกสังหารในสงครามที่ไม่มีที่สิ้นสุดอีกต่อไป” ทรัมป์กล่าวบนเวที UNGA
นอกจากนี้ ในการปราศรัยต่อหน้าคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสหรัฐฯ หลายร้อยนายเมื่อวันที่ 30 กันยายน ทรัมป์กล่าวว่า จะถือเป็นการ “ดูหมิ่น” ต่อสหรัฐอเมริกา หากเขาไม่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เนื่องจากเขามีบทบาทในการยุติสงครามในหลายภูมิภาคทั่วโลก
“มันจะเป็นการดูหมิ่นประเทศของเราอย่างมาก บอกได้เลยผมไม่ได้อยากได้รางวัลนั้น ผมอยากให้ประเทศเป็นฝ่ายได้รับมันต่างหาก ประเทศสมควรได้รับ เพราะไม่เคยมีอะไรแบบนี้มาก่อน” ทรัมป์กล่าวกับบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสหรัฐฯ
โอกาสทรัมป์คว้ารางวัลโนเบล ยังไม่แน่นอน
แม้จะมีเสียงเชียร์จากผู้นำหลายประเทศ แต่โอกาสที่ทรัมป์จะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปีนี้ ยังคงมีความไม่แน่นอน ขณะที่คณะกรรมการโนเบลยืนยันว่า คณะกรรมการฯ จะไม่ถูกกดดันตามกระแสที่เกิดขึ้นตามสื่อมวลชน
“แน่นอนว่าเราสังเกตเห็นว่ามีความสนใจจากสื่ออย่างมากต่อผู้สมัครบางราย แต่สิ่งนี้ไม่มีผลต่อการหารือที่เกิดขึ้นในคณะกรรมการฯ แต่อย่างใด” คริสเตียน เบิร์ก ฮาร์ฟวิคเคน เลขาธิการคณะกรรมการโนเบลกล่าว
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญในนอร์เวย์กล่าวว่า โอกาสที่ทรัมป์จะได้คว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพแทบจะไม่มีเลย โดยโอเอวินด์ สเตเนอร์เซน นักประวัติศาสตร์ของนอร์เวย์เปิดเผยกับสื่อว่า ในหลาย ๆ ด้านนั้น ทรัมป์เป็นบุคคลที่อยู่ตรงข้ามกับอุดมคติของรางวัลโนเบล ขณะที่คาริม แฮกแก็ก หัวหน้าสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์มกล่าวว่า คณะกรรมการจะต้องประเมินว่า ทรัมป์มีความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมหรือไม่ ในความพยายามที่จะสร้างสันติภาพ
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพควรมอบเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ทำงานอย่างเงียบ ๆ ในความขัดแย้งที่ถูกลืมของโลก เช่นผู้ที่ทำงานด้านสันติภาพในซูดาน, ซาเฮล และพื้นที่แถบจะงอยแอฟริกา (Horn of Africa) ซึ่งรวมถึงโซมาเลีย เอธิโอเปีย, และเอริเทรีย
ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญยังมองว่า องค์กรต่าง ๆ เช่น Emergency Response Rooms ของซูดานซึ่งเสี่ยงชีวิตเพื่อมอบอาหารและช่วยเหลือชุมชนที่ถูกทำลายจากสงคราม ก็ควรเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการพิจารณา นอกจากนี้ หน่วยงานเฝ้าระวังสื่อ (Media watchdogs) ก็เป็นที่จับตาเช่นกัน เนื่องจากเป็นปีที่ผู้สื่อข่าวเสียชีวิตจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยเฉพาะในฉนวนกาซา
คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
คริสเตียน เบิร์ก ฮาร์ฟวิคเคน เลขาธิการคณะกรรมการโนเบลกล่าวว่า บุคคลใดตามที่มีคุณสมบัติตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมปีค.ศ.1895 ของ อัลเฟรด โนเบล นักอุตสาหกรรมชาวสวีเดนซึ่งกล่าวไว้ว่า รางวัลสาขาสันติภาพควรจะมอบให้กับบุคคล “ที่ได้ทำคุณงามความดีหรือสร้างผลงานดีที่สุดในการส่งเสริมความเป็นมิตรระหว่างประเทศ การยกเลิกหรือการลดกำลังทหารประจำการ และการจัดตั้งหรือส่งเสริมการประชุมเพื่อสันติภาพ” และรางวัลนี้ “จำเป็นต้องพิจารณาให้อยู่ในบริบทของสถานการณ์ปัจจุบัน”
“คณะกรรมการจะมองดูความเป็นไปในโลก เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น แนวโน้มของโลกคืออะไร ความกังวลหลักคืออะไร กระบวนการที่มีแนวโน้มดีที่สุดที่เราเห็นคืออะไร และกระบวนการในที่นี้อาจหมายถึงอะไรก็ได้ ตั้งแต่กระบวนการสันติภาพที่เฉพาะเจาะจง ไปจนถึงข้อตกลงระหว่างประเทศที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาหรือเพิ่งได้รับการรับรอง” ฮาร์ฟวิคเคนกล่าวกับผู้สื่อข่าว
เมื่อได้รู้ถึงคุณสมบัติคร่าว ๆ ของผู้ที่สมควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพแล้ว ขอเชิญผู้อ่านมาร่วมกันเคานต์ดาวน์จนถึงวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคมนี้ เพื่อลุ้นว่า ความฝันของทรัมป์ในการครอบครองรางวัลอันทรงเกียรตินี้จะเป็นจริงหรือไม่
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ต.ค. 68)