
วงการอาหารญี่ปุ่นในไทยได้ก้าวข้ามจากอาหารราคาแพงมาสู่การเป็นตลาด Mass มากขึ้น เรียกได้ว่าอาหารญี่ปุ่นน่าจะติด Top 3 ในใจของผู้บริโภคชาวไทยไปแล้ว แต่หากอัพเดทกันนาทีนี้ก็ดูเหมือนว่าตลาดอาหารญี่ปุ่นกำลังเจอกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ !
ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สงครามราคาที่เดือดไฟลุก และจุดพีค คือ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ไม่ได้แคร์กับคำว่า “ปริมาณ” แต่กลับเน้นไปที่ “ประสบการณ์” ที่คุ้มค่ามากที่สุด จนทำให้แม้แต่แบรนด์ต้นตำรับดั้งเดิมจากญี่ปุ่นแท้ 100% ก็ไม่สามารถเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จได้อีกต่อไป !
แล้วแบบนี้อนาคตของตลาดอาหารญี่ปุ่นจะหมุนไปทางไหน รู้พร้อมกันใน “Talk Time” EP.นี้ ที่จะมาพูดคุยกับนายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.มากุโระ กรุ๊ป [MAGURO] แบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นพันล้านตัวท็อปที่อยู่ในวงการมานานนับสิบปี
• อดีต : เมื่อ 20 – 30 ปีที่แล้ว อาหารญี่ปุ่นเพิ่งเข้าสู่ประเทศไทยและมีราคาสูงมาก เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบและการนำเข้า ทำให้เป็นอาหารสำหรับคนที่มีกำลังซื้อสูงเท่านั้น
• ปัจจุบัน : พอเวลาผ่านไป อาหารญี่ปุ่นได้กลายเป็น อาหาร Mass ในปัจจุบัน พร้อมกับขยายไปในมิติของตลาดระดับสูง เช่น ตลาด Premium Mass, Fine Dining, OMAKASE และ Chef’s Table
1) วัฒนธรรมประเพณีของญี่ปุ่นมีเสน่ห์ถูกใจคนไทย
2) ความทรงจำคนไทย มีความเกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โตมากับหนังสือการ์ตูนมังงะ หรือ Animation
3) เชื่อถือชาวญี่ปุ่นที่มักจะทำอะไรอย่างละเอียด จริงจัง ทุ่มเท
“อาหารญี่ปุ่นไม่ได้เป็นเพียง “เทรนด์” แต่เป็นอาหารที่ติด Top 3 ของประเภทอาหารในใจผู้บริโภคชาวไทยไปแล้ว เป็นอะไรที่จะต้องอยู่คู่กันไปอีกนาน และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อไปได้เรื่อย ๆ ” นายจักรกฤติ กล่าว
เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคจึงรัดเข็มขัด เลือกที่จะกินและจ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น ดังนั้นตอนนี้สิ่งสำคัญคือ ลูกค้าต้องการความคุ้มค่ามากที่สุดแลกกับเงินที่จ่ายไปในแต่ละครั้ง
แต่ที่น่าสนใจก็คือนิยามของความคุ้มค่าที่เปลี่ยนไป เพราะในสมัยสัก 3-5 ปีก่อน ความคุ้มค่าอาจหมายถึงปริมาณที่มากขึ้น แต่ในปัจจุบันปริมาณเป็นเพียงองค์ประกอบเดียว แต่คำว่า “ประสบการณ์” เริ่มเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น ครอบคลุมทุกรายละเอียดเล็กน้อย ตั้งแต่แสงไฟ โต๊ะ เก้าอี้ เรื่องราวของแบรนด์ ไปจนถึง Human Touch หรือการปฏิสัมพันธ์ของลูกค้ากับพนักงาน หรือตัวเชฟเองก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้นด้วยเช่นกัน
เมื่อแบรนด์ญี่ปุ่นเข้ามาในไทย ข้อดีคือลูกค้าจะเปิดใจรับทันที เพราะมีความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว ไม่ต้องมาสร้างแบรนด์ใหม่ แต่สิ่งที่พวกเขาจะตัดสินต่อคือ รสชาติหรือประสบการณ์เหมือนกับที่เคยเจอญี่ปุ่นหรือไม่
นอกจากนี้เองคนไทยเองก็มีความต้องการ ความเคยชินที่แตกต่างออกไปกับคนญี่ปุ่น ก็เป็นอีกส่วนที่แบรนด์อาจจะต้องปรับให้เหมาะสมกับบริบทของผู้บริโภคชาวไทย
“แบรนด์ออริจินัลจากญี่ปุ่นเข้ามาไทย ไม่ได้หมายความว่า “แท้” แล้วจะประสบความสำเร็จเสมอไป สุดท้ายแล้วก็คงขึ้นอยู่กับว่าแบรนด์ไหนจะใช้วิธีให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MAGURO กล่าว
สงครามราคาเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาและเกิดในทุกที่ ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ อย่างของ MAGURO เองเป็นลูกค้ากลุ่ม Premium Mass ไม่ได้ต้องการราคาที่ถูกที่สุด แต่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดที่คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายมากที่สุด
ดังนั้นแนวทางของเรา จึงรับมือกับเรื่องนี้ด้วยการรักษามาตรฐานและพัฒนาคุณภาพให้ดีกว่าเดิม รวมถึงการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีขึ้น มีการออกแบรนด์ใหม่ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น คุ้มกับราคาที่จ่ายมากที่สุด เพราะเรามองว่าการลดราคาไปเรื่อย ๆ จะทำให้ คุณค่าของแบรนด์สูญเสียไป และจะไม่มีวันเรียกกลับมาไม่ได้อีก
• การขยายตัว : ภาพรวมของตลาดมีแนวโน้มที่จะ ขยายตัวต่อไปได้เรื่อย ๆ จังหวัดใหญ่หรือหัวเมืองใหญ่ ยังคงมีโอกาสอีกมาก
• มาตรฐานสูงขึ้น : เรื่องของความอร่อยจะเข้มข้นมากขึ้น และมาตรฐานก็จะสูงขึ้นด้วย ร้านเดิมที่ไม่ปรับตัวก็มีความเสี่ยงสูงที่จะหลุดจากตลาด
• การแข่งขัน : ร้านเดิมที่ปิดตัวไป ก็จะถูกแทนที่ด้วยร้านใหม่จากผู้ประกอบการยุคใหม่ มาพร้อมไอเดียสดใหม่ หรือแบรนด์ต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็จะเป็นการกำหนดมาตรฐานใหม่ (New Benchmark) ของตลาดอาหารญี่ปุ่นในไทย
• อาหารญี่ปุ่นได้กลายเป็นอาหารแมส และติด Top 3 ในใจผู้บริโภคชาวไทย
• ผู้บริโภคปัจจุบันเน้น “ประสบการณ์” มากกว่า “ปริมาณ”
• แบรนด์ญี่ปุ่นแท้เข้ามาในไทยไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป
• การลดราคาลงเรื่อย ๆ ในช่วงสงครามราคา จะทำให้คุณค่าของแบรนด์สูญเสียไปและเรียกกลับมาไม่ได้
• ในอนาคต มาตรฐานอาหารญี่ปุ่นจะสูงขึ้น ใครที่ไม่ปรับตัวจะเสี่ยงหลุดจากการแข่งขัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ต.ค. 68)




