มองมุมต่าง: หุ้นดี-พระแท้ เมื่อ”พื้นฐาน” พบกับ “ศรัทธา”บทเรียนเดียวกันแห่งการลงทุน

“หุ้นพื้นฐานดี-พระแท้” สองสินทรัพย์ต่างยุค แต่ยึดหลักเดียวกันคือ “ของแท้ไม่กลัวกาลเวลา ของมีราคาคือพิมพ์นิยม” หากเอ่ยถึง “หุ้น” กับ “พระเครื่อง” สองสิ่งนี้เป็นสินทรัพย์ที่ดูเหมือนมีความต่างกันสุดขั้ว ทั้งในส่วนของการต่างยุคสมัย และรูปแบบที่แตกต่าง

ในความต่างที่มองได้ชัดเจน แต่แก่นกลางที่ขับเคลื่อนราคากลับมีความคล้ายคลึงกันอย่างไม่น่าเชื่อ

โดยเฉพาะในมุมของแท้มีราคาคือของดี ที่ทั้งพระแท้และหุ้นพื้นฐานแน่นจะไม่ตาย แม้ผ่านกี่วิกฤติก็ตาม

*พระแท้ กับ หุ้นพื้นฐานดี

แก่นแท้ของมูลค่า (Intrinsic Value) พระเครื่องแท้ มีคุณค่าจาก “พุทธคุณและเรื่องราวกับศรัทธาและปริมาณพระที่หมุนเวียน” คือปัจจัยผลักดันราคาพระ

แม้ราคาพระเครื่อง จะมีขึ้นลงตามยุค ตามความนิยมในช่วงนั้นฯ แต่ “ของแท้” ที่มีลูกศิษย์ศรัทธาจำนวนมากจากพุทธคุณที่รู้สึกได้จะกลับมามีราคายืนหนึ่งเสมอ เพราะความเป็นของแท้ของจริง ดังเช่นพระเครื่องของหลวงปู่ทิม หลวงปู่โต๊ะ หรือ หลวงปู่ทวดที่มีเรื่องราวมากมายในนาทีนี้ ล้วนแต่มีราคายืนแข็งท้าทายภาวะเศรษฐกิจ

หุ้นพื้นฐานดีก็เช่นกันกัน บริษัทที่มีมูลค่าจาก “ธุรกิจแกร่ง-กระแสเงินสดดี ที่มาจากการบริหารที่ชาญฉลาดและยึดหลักธรรมาภิบาล” ดังที่เราจะเห็นได้ว่าถึงจะเป็นธุรกิจที่ดีแต่ขาดธรรมาภิบาล ท้ายสุดนักลงทุนก็สาบส่ง ต่อให้กำไรดีผลประกอบการดีแต่ชอบเล่นทีเผลอกับความเชื่อมั่นของนักลงทุน วันนึงคนก็บอกลา เพราะหุ้นอื่นในตลาดไทยหรือสินทรัพย์อื่นฯ จ่อรอแทรกคิวป็นตัวเลือกใหม่ของการลงทุนเสมอ

พระแท้-หุ้นพื้นฐานดี ที่มีมูลค่าภายใน ที่ไม่หายไปตามอารมณ์ตลาด หรือ วิกฤติใดฯ

แต่ในอีกแง่มุมนึง คือ กรณีของพระเก๊ กับ หุ้นปั่น ทั้งสองสิ่งนี้ จะโดนตลาด ตรวจสอบเสมอ คำว่า “ตลาด” คือ คนเล่น หรือ ผู้คุมกฏทางการ ก็ได้ และเมื่อวันกระแสจาง ของแท้จะอยู่รอด ส่วนของปลอมจะเงียบหายไป

*ตลาดพระ กับ ตลาดหุ้น

ระบบราคาพระเครื่อง กับ หุ้น เกิดจาก คน ในแง่ของ ดีมานด์ ซัพพลาย ทั้งคู่

ในตลาดพระ มีเซียนพระ, นักสะสมมือสมัครเล่น, และมือใหม่

เหมือนตลาดหุ้นที่มี “นักลงทุนสถาบัน (ในและต่างประเทศ) – นักลงทุนรายใหญ่ (เซียนหุ้น) – รายย่อย”

สำหรับ ราคาพระ หรือราคาหุ้น ในระยะสั้นที่ขึ้น-ลงเกิดจากกระแส หรือความกลัว-ความโลภ

แต่หากมองในระยะยาว ราคาจะกลับมาเสมอ หากเป็น “ของจริง” เพราะเมื่อราคาถูกลงก็จะมีคนที่เข้าใจและศรัทธาสะสมเข้ามาเสมอ

ยกตัวอย่าง พระเครื่อง บางองค์ราคาเคยอยู่หลักล้านบาท ร่วงลงมาเหลือหลักแสน เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี มีคนเดือดร้อนเงิน พระจึงถูกเลหลังขายออกมา

เหมือนหุ้นดี บางตัวที่ร่วงแรงตอนเกิดวิกฤติ แต่สุดท้ายกลับมายืนแกร่งได้เหมือนเดิม

*วิกฤติ คือบททดสอบ

ความแท้ของ พระเครื่อง หรือ หุ้นที่ถืออยู่ จะถูกพิสูจน์โดยปริยาย

พระแท้ ผ่านยุคสงคราม ผ่านช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ก็ยังมีคนตามหา มีคนเช่า เพราะเชื่อมั่น และมีศรัทธา

หุ้นพื้นฐานดี ผ่านวิกฤติต้มยำกุ้ง ,ช่วงโควิด , สงครามยูเครน, เงินเฟ้อ ฯลฯ ก็ยังกลับมาสร้างกำไรให้กับผู้ลงทุนได้

หากมองในเชิงจิตวิทยาการลงทุน ก็จะมีความคล้ายกันคือ ช่วงตลาดไม่ดี คนเทขายพระแท้ คนเทขายหุ้นดี เพราะความกลัว

นอกจากนี้ หากจะพูดถึงพระที่ออกมาใหม่ก็จะถูกโปรโมทและกระจายพระไม่ต่างกับหุ้นไอพีโอ ในปัจจุบัน

มีแต่คนที่เข้าใจคุณค่า หรือคนที่มีความกล้าเท่านั้น ที่คิดจะค่อยๆ เก็บ และรอให้ความจริงเปิดเผยในอนาคต

*ศิลปะของการสะสม กับ การลงทุน

เซียนพระ เน้นการดูผ่านสายตา, ความเข้าใจ และประสบการณ์

ส่วนนักลงทุนเน้นดูผ่านงบการเงิน, โมเดลธุรกิจ, และทีมบริหาร

แต่ทั้งสองฝั่งของการลงทุน ที่ต้องมีเหมือนกัน คือ “ความอดทน” เพราะ พระแท้ไม่ต้องรีบขาย หุ้นดี ก็ไม่ต้องรีบเทขาย เช่นกัน

ความเป็น พระแท้ไม่ต้องอธิบายมาก ของจริง จะพูดเองเมื่อถึงเวลาที่จะเอาไปขาย เพื่อแลกเปลี่ยนมาเป็น “เงินสด”

หุ้นพื้นฐานดี ก็เช่นกัน ไม่ต้องมีข่าวดีมาช่วยไล่ราคา แค่ถือไว้ให้นานพอ เพราะสุดท้ายแล้ว ความแท้ ผลประกอบการของบริษัท จะมาดันราคาหุ้นเอง

ตลาด อาจหลอกคนใจร้อน

แต่จะให้รางวัลกับคนที่มองเห็นของจริงเสมอ

พระเครื่องคือสินทรัพย์ที่ถูกสร้างขึ้น และคงมูลค่าได้อยู่บนความศรัทธา หุ้นยืนคือสินทรัพย์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยและคงมูลค่าได้ด้วยความเชื่อมั่นและผลประกอบการ ทั้งคู่ยืนอยู่ได้เพราะของแท้เหมือนกัน

หากมองสองโลกแห่งการลงทุน ระหว่าง “พระเครื่องแท้” กับ “หุ้น” ที่มีความแตกต่างกันทางกายภาพและการใช้งาน แต่ทั้งสอง กลับจะพัฒนาได้ต้องเริ่มจากปัจจัยแรกคือความเป็นของจริง พระจริง บริษัทที่ดีจริง ที่รอเซียนตัวจริง และ นักลงทุนของจริง อยู่เสมอ

ธิติ ภัทรยลรดี

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ต.ค. 68)