
สงครามการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีนและสหรัฐอเมริกาได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางมาตรการตอบโต้ทางภาษีและข้อจำกัดด้านการค้าระลอกใหม่ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก พร้อมจุดชนวนความวิตกกังวลในภาคธุรกิจอีกครั้ง
ทรัมป์เปิดวอร์ รีดภาษีนำเข้าสินค้าจีน
ย้อนกลับไปในอดีต สหรัฐฯ ใช้มาตรการกดดันทางเศรษฐกิจและการค้ากับจีนมานานแล้ว ตัวอย่างเช่น โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก เคยเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนครั้งใหญ่ในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์ จนจีนประณามว่านโยบายของทรัมป์เป็น “การรังแกทางการค้า” นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเพิ่มบริษัทหัวเว่ย (Huawei) ในรายชื่อบริษัทที่ห้ามใช้เทคโนโลยีจากบริษัทอเมริกันโดยไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล โดยอ้างว่าหัวเว่ยเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ต่อมาอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็เคยสกัดจีนในการเข้าถึงเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ รวมถึงคุมเข้มการส่งออกชิปขั้นสูงของสหรัฐฯ ไปยังจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิปของบริษัทอินวิเดีย (Nvidia) นอกจากนั้นยังลงนามกฎหมายแบนติ๊กต๊อก (TikTok) หากไม่ยอมขายกิจการในสหรัฐฯ อีกด้วย
ทรัมป์กลับเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สองเมื่อวันที่ 20 ม.ค. หลังจากนั้นเพียงหนึ่งเดือน เขาได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทจากจีน 10% โดยให้เหตุผลว่าสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับจีนมหาศาล ซึ่งจีนได้ออกมาตรการตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ หลายรายการเช่นกัน ต่อมาทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 20% มีผลวันที่ 4 มี.ค. ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ในอัตรา 15% มีผลวันที่ 10 มี.ค. แต่ทรัมป์ยังไม่หยุดแค่นั้น ในวันที่ 2 เม.ย. เขาได้ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในอัตรา 34% ต่อสินค้าจากจีน ซึ่งจีนก็ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีในอัตราเดียวกันกับสินค้าจากสหรัฐฯ พร้อมประกาศมาตรการคุมเข้มการส่งออกแร่หายากเป็นครั้งแรก
หลังจากนั้นทรัมป์ได้ประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้เป็นการชั่วคราวสำหรับประเทศอื่น แต่ยังคงบังคับใช้กับจีน ส่งผลให้ทั้งสองประเทศผลัดกันขึ้นภาษีอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด สหรัฐฯ รีดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 145% ขณะที่จีนเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 125% ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะตกลงลดภาษีเหลือ 30% และ 10% ตามลำดับในวันที่ 12 พ.ค. ซึ่งการพักรบชั่วคราวดังกล่าวมีระยะเวลา 90 วัน จนถึงวันที่ 12 ส.ค. และได้ขยายเวลาอีกครั้งจนถึงวันที่ 10 พ.ย. เพื่อเปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงการค้าร่วมกันก่อนที่มาตรการขึ้นภาษีจะกลับมามีผลบังคับใช้
จีนคุมเข้มส่งออกแร่หายาก
ทั่วโลกต่างพากันโล่งใจ หลังสองชาติมหาอำนาจยอมสงบศึกการค้าเป็นการชั่วคราว ขณะที่สถานการณ์อื่น ๆ ก็เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างในกรณีแพลตฟอร์ม TikTok ของจีนที่บรรลุดีลขายกิจการในสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการไม่ถูกแบน อย่างไรก็ตาม ความสงบสุขที่เกิดขึ้นกลับอยู่ได้ไม่นานนัก ก่อนที่ความตึงเครียดจะปะทุขึ้นอีกครั้งในวันพฤหัสบดีที่แล้ว (9 ต.ค.) เมื่อจีนประกาศเพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายากและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยให้เหตุผลว่า ในบางกรณี มีการส่งออกแร่หายากและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องจากจีนไปยังต่างชาติ เพื่อใช้ในทางทหารและภาคส่วนอื่นที่มีความอ่อนไหว ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติและผลประโยชน์ของจีน
ข้อจำกัดดังกล่าวกำหนดว่า บุคคลและบริษัทต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลจีนก่อนดำเนินการส่งออกเทคโนโลยีที่ใช้ในการทำเหมือง แปรรูป หรือรีไซเคิลแร่หายาก รวมถึงใช้ในการผลิตแม่เหล็กจากแร่หายาก ซึ่งนำไปใช้ได้ทั้งเชิงพาณิชย์และทางทหาร (dual use) โดยบางกรณีก็อาจไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล ทั้งยังห้ามไม่ให้พลเมืองจีนและบริษัทจีนให้ความช่วยเหลือในกระบวนการดังกล่าวในต่างประเทศ ขณะเดียวกัน บริษัทที่ต้องการส่งออกสินค้าที่มีส่วนผสมของแร่หายากจากจีนแม้เพียงเล็กน้อย ก็ต้องขออนุญาตเช่นกัน
ทรัมป์ออกมาตอบโต้ทันควันในวันศุกร์ (10 ต.ค.) โดยกล่าวว่าจีนมีท่าที “เป็นปรปักษ์อย่างยิ่ง” และเปรยว่าเขาอาจไม่มีเหตุผลที่ต้องพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงอีกต่อไป จากเดิมที่มีกำหนดการพบกันนอกรอบการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค ซึ่งจะจัดขึ้นที่เกาหลีใต้ระหว่างวันที่ 31 ต.ค. ถึง 1 พ.ย. นอกจากนี้ ทรัมป์ประกาศว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 100% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน และใช้มาตรการคุมเข้มการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พ.ย. หรืออาจเร็วกว่านั้น โดยเขาโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียว่า “จากข้อเท็จจริงที่ว่าจีนแสดงท่าทีอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…สหรัฐอเมริกาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 100% เพิ่มเติมจากภาษีที่จีนต้องจ่ายอยู่ในปัจจุบัน”
ต่อมาในวันอาทิตย์ (12 ต.ค.) กระทรวงพาณิชย์จีนฟาดกลับว่า “การข่มขู่ด้วยการขึ้นภาษีสูงเช่นนี้โดยเจตนา ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับจีน” ขณะเดียวกัน “จุดยืนของจีนต่อสงครามการค้านั้นชัดเจนและมั่นคง เราไม่ต้องการสงคราม แต่ก็ไม่หวั่นเกรงหากต้องเผชิญ” พร้อมกับเน้นย้ำว่า “หากสหรัฐฯ ยืนกรานที่จะเดินหน้าต่อไปในทางที่ผิด จีนจะใช้มาตรการที่เด็ดขาดเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมายของตนอย่างแน่นอน”
หลังจากนั้นทรัมป์มีท่าทีอ่อนลง โดยโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียในวันเดียวกันว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องจีน ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี” และ “สหรัฐอเมริกาต้องการช่วยเหลือจีน ไม่ใช่ทำร้าย” ต่อมาในวันจันทร์ (13 ต.ค.) สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ทรัมป์ยังคงมีกำหนดการพบกับสี จิ้นผิง ที่เกาหลีใต้สิ้นเดือนนี้ โดยระบุว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า มาตรการขึ้นภาษียังไม่มีผลจนกว่าจะถึงวันที่ 1 พ.ย. เขาจะพบกับประธานาธิบดีสีที่เกาหลีใต้ ผมเชื่อว่าการพบกันจะยังคงเกิดขึ้นตามแผน” และ “มาตรการเก็บภาษีเพิ่ม 100% อาจไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น” ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่ายังมีโอกาสที่ความขัดแย้งระหว่างสองชาติมหาอำนาจจะคลี่คลายลงได้
จีน-สหรัฐฯ โต้เดือด ต่างฝ่ายต่างขึ้นค่าธรรมเนียมท่าเรือ
การที่สหรัฐฯ มีท่าทีอ่อนลงต่อจีนช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายลงชั่วขณะ แต่ยังไม่ทันข้ามคืนดี สถานการณ์ก็ตึงเครียดอีกครั้ง โดยในวันอังคาร (14 ต.ค.) จีนเริ่มเรียกเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรืออัตราใหม่กับเรือที่เชื่อมโยงกับสหรัฐฯ เพื่อเป็นการตอบโต้ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรืออัตราใหม่กับเรือที่เชื่อมโยงกับจีน ซึ่งเริ่มบังคับใช้ในวันเดียวกัน โดยเรือที่เข้าข่ายต้องจ่ายค่าธรรมเนียมคือเรือที่เป็นของสหรัฐฯ ดำเนินการโดยสหรัฐฯ สร้างโดยสหรัฐฯ หรือติดธงสหรัฐฯ ยกเว้นเรือที่สร้างโดยจีน เรือเปล่าที่เข้าซ่อมบำรุงในอู่ต่อเรือของจีน และเรืออื่น ๆ ที่ได้รับการพิจารณาว่าปลอดค่าธรรมเนียม
สถานีโทรทัศน์ CCTV ของทางการจีนรายงานว่า เรือที่เชื่อมโยงกับสหรัฐฯ ซึ่งเข้าเทียบท่าเรือของจีน จะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในอัตรา 400 หยวน (ราว 56 ดอลลาร์) ต่อหนึ่งตันสุทธิ ซึ่งสมน้ำสมเนื้อกับที่ทางสหรัฐฯ เรียกเก็บจากเรือที่เชื่อมโยงกับจีน โดยค่าธรรมเนียมจะเพิ่มขึ้นทุกปี และจะสูงถึง 1,120 หยวนต่อตัน ในเดือนเม.ย. 2571 ซึ่งนักวิเคราะห์ประมาณการว่า เรือบรรทุกสินค้าเทกองแห้ง (dry bulk cargo) เช่น ถ่านหิน และวัตถุดิบอื่น ๆ อาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมท่าเรือสูงถึง 3 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และภายในปี 2571 เรือขนาดใหญ่ที่สุดอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมมากกว่า 10 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะสร้างแรงกดดันด้านต้นทุนอย่างมหาศาล
นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมจีนแถลงว่า ได้เริ่มกระบวนการไต่สวนอย่างเป็นทางการ เพื่อตรวจสอบผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการไต่สวนภายใต้กฎหมายการค้ามาตรา 301 ที่มีต่ออุตสาหกรรมการขนส่งทางเรือ อุตสาหกรรมต่อเรือ และความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานของจีน โดยการไต่สวนครั้งนี้จะขยายผลไปถึงการตรวจสอบว่า มีบริษัท องค์กร หรือบุคคลใดของจีน ที่มีส่วนในการนำมาตรการของสหรัฐฯ มาบังคับใช้ หรือให้ความช่วยเหลือสหรัฐฯ ในการดำเนิน “มาตรการกีดกันทางการค้าที่มีลักษณะเลือกปฏิบัติ” ต่อภาคอุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานของจีนหรือไม่
ในวันเดียวกัน รัฐบาลจีนได้ประกาศเพิ่มบริษัท 5 แห่งในเครือของ ฮันฮวา โอเชียน (Hanwha Ocean) ซึ่งเป็นบริษัทต่อเรือสัญชาติเกาหลีใต้ ในบัญชีรายชื่อบริษัทที่ถูกคว่ำบาตร โดยระบุว่าบริษัททั้ง 5 แห่งซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐฯ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่สหรัฐฯ ดำเนินการสอบสวนอุตสาหกรรมการเดินเรือของจีน ซึ่งคำสั่งดังกล่าวมีผลทันที โดยห้ามไม่ให้องค์กรและบุคคลชาวจีนทำธุรกิจกับบริษัทดังกล่าว ได้แก่ ฮันฮวา ชิปปิง (Hanwha Shipping), ฮันฮวา ฟิลลี ชิปยาร์ด (Hanwha Philly Shipyard), ฮันฮวา โอเชียน ยูเอสเอ อินเตอร์เนชันแนล (Hanwha Ocean USA International), ฮันฮวา ชิปปิง โฮลดิงส์ (Hanwha Shipping Holdings) และเอชเอส ยูเอสเอ โฮลดิงส์ คอร์ป (HS USA Holdings Corp)
สหรัฐฯ เอาอีก ขู่หยุดนำเข้าน้ำมันปรุงอาหารจากจีน
ศึกระหว่างสองชาติลุกลามบานปลายขึ้นทุกขณะ โดยล่าสุดทรัมป์โจมตีจีนผ่านโซเชียลมีเดียในวันอังคาร (14 ต.ค.) ว่า จีนจงใจไม่ซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ “เป็นปฏิปักษ์ทางเศรษฐกิจ” และเตรียมตอบโต้ด้วยการพิจารณายกเลิกการทำธุรกิจกับจีนในส่วนของน้ำมันปรุงอาหารและองค์ประกอบด้านการค้าอื่น ๆ โดยย้ำว่า “เราสามารถผลิตน้ำมันปรุงอาหารเองได้ง่าย ๆ เราไม่จำเป็นต้องซื้อจากจีน”
หลังจากทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีศุลกากร จีนซึ่งเคยนำเข้าถั่วเหลืองมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตถั่วเหลืองทั้งหมดในสหรัฐฯ ได้หันไปนำเข้าถั่วเหลืองจากอเมริกาใต้แทน (เช่น บราซิลและอาร์เจนตินา) ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ผลิตถั่วเหลืองของสหรัฐฯ จนทรัมป์กล่าวเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ว่า ประเด็นที่จีนหยุดซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ จะเป็นวาระสำคัญในการหารือกับสี จิ้นผิง ที่เกาหลีใต้สิ้นเดือนนี้
สงครามการค้าครั้งนี้ดูเหมือนจะยังไม่ยุติลงในเร็ววัน เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างยืนหยัดตอบโต้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงไม่จำกัดอยู่แค่สหรัฐฯ กับจีนเท่านั้น หากแต่ลุกลามไปยังประเทศต่าง ๆ ที่ตกอยู่ท่ามกลางการช่วงชิงอำนาจทางเศรษฐกิจ ความหวังในการคลี่คลายสถานการณ์อยู่ที่การพบกันระหว่างทรัมป์กับสี จิ้นผิง ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 31 ต.ค. หรือเพียงหนึ่งวันก่อนถึงเส้นตาย 1 พ.ย. ที่ทรัมป์ขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมอีก 100% และเพียงไม่กี่วันก่อนที่มาตรการขึ้นภาษีเดิมจะกลับมามีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 พ.ย. หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ต.ค. 68)