Smart Green ถอดรหัส…กฎหมายเพื่อความยั่งยืน: Direct Power Purchase Agreement กลไกไฟฟ้าสะอาดสำหรับ Data Center

หลังจากได้พูดถึงใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC) และกลไกค่าไฟฟ้าสีเขียว (UGT) กันไปแล้ว บทความนี้จะมาทำความรู้จักกับอีกหนึ่งกลไกที่กำลังเป็นที่จับตามองในประเทศไทย นั่นคือ Direct Power Purchase Agreement หรือ DPPA ซึ่งหมายถึงการที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนโดยตรงกับผู้ผลิตไฟฟ้า โดยยังคงใช้สายส่งและระบบจำหน่ายของการไฟฟ้าภาครัฐอยู่เช่นเดิม

แนวคิดของ DPPA เกิดขึ้นเพราะภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติและศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Center) มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสะอาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ระบบการจัดซื้อขายไฟฟ้าในไทยยังอยู่ภายใต้การผูกขาดของรัฐ เพราะมีหน่วยงานเดียวที่ทำหน้าที่เป็น “ผู้ซื้อไฟฟ้ารายเดียว” หรือที่เรียกว่า Single Buyer คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กฟผ.จะเป็นผู้ทำสัญญาซื้อไฟฟ้าทั้งหมดจากโรงไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าของรัฐหรือเอกชน และเมื่อซื้อมาแล้ว กฟผ.ก็จะขายต่อให้กับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายไฟฟ้าไปยังบ้านเรือนและภาคธุรกิจทั่วประเทศ

โครงสร้างนี้ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไปหรือโรงงานอุตสาหกรรม ไม่มีสิทธิเลือก ว่าจะซื้อไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานใด เช่น ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ พลังงานแสงอาทิตย์ หรือลม เพราะไฟฟ้าทั้งหมดจะถูกรวมเข้าด้วยกันในระบบสายส่งเดียว ก่อนถูกกระจายออกมาในราคาเดียวที่กำหนดโดยรัฐ

ข้อดีของระบบผูกขาดนี้คือ ทำให้ประเทศมี ความมั่นคงด้านพลังงาน และ ควบคุมราคาค่าไฟได้เสถียร แต่ข้อเสียคือ ขาดความยืดหยุ่นสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ต้องการเลือกพลังงานสะอาดโดยตรง เมื่อบริษัทหรือโรงงานต้องการใช้ไฟฟ้าสีเขียวเพื่อทำตามเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ก็ไม่สามารถซื้อจากผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนโดยตรงได้ ต้องอาศัยกลไกเสริมอย่าง REC หรือ UGT เพื่อยืนยันการใช้ไฟฟ้าสะอาดแทน

ดังนั้น การเกิดขึ้นของ DPPA จึงสำคัญมาก เพราะเป็นการเปิด “ช่องทางใหม่” ที่ให้ผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่สามารถทำสัญญาซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนได้โดยตรง และช่วยสร้างแรงจูงใจให้เอกชนลงทุนในโครงการพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น โดยอาศัยกลไกที่เรียกว่า Third Party Access หรือ TPA ซึ่งทำให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนสามารถขายไฟฟ้าให้ผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ได้ แต่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการใช้โครงข่ายของการไฟฟ้าภาครัฐ

ประเทศไทยเริ่มวางรากฐานของ DPPA ตั้งแต่ปี 2565 เมื่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกประกาศเรื่องหลักเกณฑ์และแนวทางการเปิดให้บุคคลที่สามสามารถใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า Third Party Access (TPA) และมีการปรับปรุง “TPA Code” โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพื่อให้สอดคล้องกับการทำสัญญาแบบใหม่ที่เปิดเสรีมากขึ้น ต่อมาในปี 2566 กกพ. ได้ทบทวนและปรับปรุงกรอบ TPA Framework และ TPA Code อีกครั้ง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับกิจการพลังงานในอนาคต โดยมีการหารือ ทดลอง และกำหนดกติกาการดำเนินงานอย่างรอบด้าน

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2567 เมื่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติอนุมัติโครงการนำร่อง DPPA วงเงินรวมไม่เกิน 2,000 เมกะวัตต์ โดยกำหนดให้กลุ่ม Data Center เป็นผู้เข้าร่วมกลุ่มแรก เหตุผลคือ Data Center เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาลต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง และกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในไทยเพื่อตอบรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล ขณะเดียวกัน Data Center ระดับโลกยังมีข้อกำหนดชัดเจนว่าจะต้องใช้พลังงานหมุนเวียน และเป้าหมาย Net-Zero การอนุญาตให้ Data Center เข้าร่วมโครงการนำร่องจึงเป็นการทดสอบทั้งความเป็นไปได้ด้านเทคนิค เศรษฐกิจ และผลกระทบต่อระบบไฟฟ้า ก่อนที่จะขยายไปยังภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในอนาคต

ในช่วงปลายปี 2567 และตลอดปี 2568 มีการหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราค่าบริการและกลไกการคิดค่าใช้จ่ายการใช้สายส่ง ตลอดจนการออกแบบบทบาทของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนด้าน Data Center และพลังงานหมุนเวียนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของ DPPA ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมีหลายด้านสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้า DPPA เพิ่มทางเลือกให้สามารถเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนได้ตามที่ต้องการโดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการจัดซื้อรวมของรัฐเพียงอย่างเดียว สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้า DPPA เป็นแรงจูงใจสำคัญให้ลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าหมุนเวียนใหม่ เพราะมั่นใจได้ว่าจะมีลูกค้ารายใหญ่ที่พร้อมทำสัญญาระยะยาว และสำหรับประเทศ DPPA จะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในสายตาของบริษัทเทคโนโลยีและดิจิทัลที่ต้องการยืนยันการใช้พลังงานสะอาดเพื่อทำตามมาตรฐานสากล เช่น ESG และ RE100

อย่างไรก็ตาม DPPA ก็มีข้อท้าทายที่ต้องจัดการอย่างรอบคอบ เพราะการเปิดเสรีบางส่วนอาจทำให้ต้นทุนการบริหารระบบไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจตกไปอยู่ที่ผู้ใช้ไฟฟ้ารายอื่นที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ อีกทั้งการจัดการสมดุลของไฟฟ้าหมุนเวียนก็เป็นเรื่องท้าทาย เพราะพลังงานแสงอาทิตย์และลมมีความผันผวน การออกแบบกลไก TPA และอัตราค่าธรรมเนียมจึงต้องโปร่งใส เป็นธรรม และไม่สร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มต่าง ๆ

หากโครงการ DPPA นำร่องประสบความสำเร็จ จะมีโอกาสขยายผลไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสะอาดเช่นเดียวกัน กลไกนี้จึงไม่ใช่แค่ทางเลือกใหม่ในการจัดหาพลังงาน แต่เป็นการปูทางไปสู่การเปิดเสรีตลาดไฟฟ้าไทยในอนาคต และเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เศรษฐกิจสีเขียวที่จะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้มากขึ้น

ดุษดี ดุษฎีพาณิชย์

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการค้า การลงทุน และอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ต.ค. 68)