“คนละครึ่งพลัส-ท่องเที่ยว” ดันศก. Q4 โตเพิ่ม 0.5-0.8% กินเจ’68 เงินสะพัดสูงสุดในรอบ 5 ปี

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในขณะนี้ เป็นประเทศที่มีการเติบโตต่ำสุดในอาเซียน โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินล่าสุดว่าเศรษฐกิจไทยจะโตประมาณ 2% เช่นเดียวกับสำนักวิจัยต่าง ๆ รวมถึงมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ก็มองที่ระดับ 2% เช่นกัน

“กรอบการเติบโต 2-2.5% จึงเป็นกรอบที่น่าจะเกิดขึ้นมากที่สุดในปีนี้ แต่ความเป็นไปได้สูงสุดคืออยู่ที่ 2% สำหรับปีหน้า IMF มองว่าเศรษฐกิจจะโตเพียง 1.6% และหลายสำนักวิจัย เริ่มมีมุมมองในเชิงที่ไม่ได้บวกมากสำหรับเศรษฐกิจในปีหน้า ซึ่งอาจโตต่ำกว่าปีนี้ อาจเป็นผลพวงมาจากสงครามการค้า ที่ยังไม่แน่ชัดว่าสหรัฐฯ จะขึ้นกำแพงภาษีกับจีน 100% ตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ หรือสงครามการค้าจะเบาบางลง” นายธนวรรธน์ ระบุ

พร้อมมองว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/68 ถือว่ามีความสำคัญ เพราะเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4 จะมีความสำคัญมากในการกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้ให้พลิกฟื้น และสร้างโมเมนตัมในการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 1/69 และไตรมาสที่ 2/69 ของปีหน้า ประเด็นสำคัญคือการยุบสภาจะส่งผลต่อเศรษฐกิจ จังหวะสำคัญ คือ เรื่องวันยุบสภา โดยรัฐบาลแถลงต่อสภาว่าจะยุบสภาในเดือนม.ค. 69 แต่อาจมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งล่าสุดอาจมีมุมมองว่าอาจจะยุบสภาในเดือนมี.ค. 69

โดยประเด็นเรื่องการยุบสภานี้ มีผลต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากการส่งผ่านเศรษฐกิจจากไตรมาสที่ 4/68 ไปยังไตรมาสที่ 1/69 มีความสำคัญมาก และระยะเวลาที่รัฐบาลมีอำนาจเต็มในไตรมาสที่ 1/69 จะเป็นตัวกำหนดว่าจะส่งผ่านนโยบายเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด เพื่อทำให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้าเติบโตเกินกว่าปีนี้ คือเติบโตเกิน 2% ดังนั้น ไตรมาสที่ 4/68 จึงเป็นรอยต่อที่สำคัญมากสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

 

  • คาดคนละครึ่งพลัส-เติมเงินบัตรคนจน-เที่ยวไทย ดันศก.Q4 เพิ่มอีก 0.5-0.8%

สำหรับผลสำรวจเรื่องการใช้จ่าย โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ม.หอการค้าไทย ประเมินว่า ผลจากโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” 2568 และจากมาตรการเติมเงินให้แก่ผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คาดส่งผลต่อ GDP อยู่ที่ 0.44% โดยแบ่งเป็น

1. ผลจากโครงการคนละครึ่งพลัส 2568 กลุ่มเป้าหมายรวม 20 ล้านคน มูลค่างบประมาณที่ใช้รวม 44,400 ล้านบาท มูลค่าการใช้จ่ายรวม 59,080 ล้านบาท คาดส่งผลต่อ GDP อยู่ที่ 0.32% แบ่งเป็น

– ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี จำนวน 11 ล้านคน มูลค่าเงินที่จะได้รับ 2,400 บาท/คน มูลค่างบประมาณที่ใช้ 26,400 ล้านบาท มูลค่าการใช้จ่ายรวม 33,880 ล้านบาท คาดส่งผลต่อ GDP อยู่ที่ 0.18%

– ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี จำนวน 9 ล้านคน มูลค่าเงินที่จะได้รับ 2,000 บาท/คน มูลค่างบประมาณที่ใช้ 18,000 ล้านบาท มูลค่าการใช้จ่ายรวม 25,200 ล้านบาท คาดส่งผลต่อ GDP อยู่ที่ 0.14%

2. ผลจากมาตรการเติมเงินให้แก่ผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีจำนวน 13.4 ล้านคน มูลค่าเงินที่จะได้รับ 1,700 บาท/คน มูลค่างบประมาณที่ใช้ 22,780 ล้านบาท มูลค่าการใช้จ่ายรวม 22,780 ล้านบาท คาดส่งผลต่อ GDP อยู่ที่ 0.12%

ทั้งนี้ เมื่อสอบถามประชาชนว่า คาดว่าจะได้รับสิทธิ์โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” หรือไม่ 82.1% มองว่าจะได้รับสิทธิ์แน่นอน 16.4% บอกว่าไม่แน่ใจ และ 1.5% บอกว่าไม่ได้แน่นอน ส่วนพฤติกรรมการใช้เงินในโครงการฯ ลักษณะการใช้จ่าย อันดับ 1 ที่ 32.6% บอกว่า จะใช้เต็มจำนวนต่อวัน 400 บาทต่อวัน รองลงมา 11.9% ใช้ทีละน้อยประมาณ 300 บาทต่อวัน และ 6.8% บอกว่าจะใช้ทีละน้อยประมาณ 200 บาทต่อวัน เมื่อถามถึงช่วงเดือนที่จะเริ่มใช้เงิน 56.8% ใช้เดือนต.ค. 39.2% ใช้เดือนพ.ย. และ 4% ใช้เดือนธ.ค.

สำหรับสัดส่วนการใช้เงินในโครงการ จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างพบว่า 37% สินค้าอุปโภคบริโภคเช่น อาหาร เสื้อผ้า เป็นต้น, 12% เครื่องดื่ม (ไม่มีแอลกอฮอล์) ของใช้ส่วนตัว เครื่องปรุงรส เป็นต้น, 10.6% สินค้าวัตถุดิบเพื่อการเกษตร/เพื่อการค้า, 9% สินค้าเพื่อการศึกษา, 8.4% ยารักษาโรค, 8.2% บริการส่วนบุคคล เช่น ทำผม นวด, 7.8% ธูปเทียนและเครื่องสักการะ ชุดถวายสังฆทาน และ 6.9% สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า จากการสำรวจพบว่า ประชาชนจะใช้จ่ายเร็ว โดยเริ่มต้นในวันแรกวันที่ 29 ต.ค.68 และจากการสำรวจพบว่า 32% จะใช้วันละ 200 บาท (เติมไปอีกครึ่งหนึ่งรวมเป็น 400 บาท) ซึ่งจะใช้หมดภายใน 10-12 วัน ดังนั้น เศรษฐกิจในช่วงเดือนพ.ย. น่าจะมีความคึกคัก โดยเฉพาะช่วงวันลอยกระทง (5 พ.ย.) กว่าครึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันแรกของโครงการ 29 ต.ค. (29-31 ต.ค.68 รวม 3 วัน) และอีกประมาณ 39% จะใช้ในเดือนพ.ย.

“ดังนั้น เม็ดเงิน 44,000 ล้านบาท รวมกับเงินที่ประชาชนเติมอีกครึ่งหนึ่งอีก 44,000 ล้านบาท รวมเป็น 80,000 กว่าล้านบาท น่าจะถูกหมุนในช่วงปลายเดือนต.ค. และต้นเดือนพ.ย. จนถึงกลางเดือนเป็นหลัก รวมถึงมาตรการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีก 1,700 บาทต่อคน รวม 20,000 กว่าล้านบาทด้วย ดังนั้นโดยรวมแล้วในเดือนพ.ย. จะมีเม็ดเงินอย่างน้อย 60,000-70,000 ล้านบาท” นายธนวรรธน์ ระบุ

ขณะเดียวกัน ยังมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยรัฐบาลจะมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยการนำค่าใช้จ่ายไปหักลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า ถ้าไปเที่ยวในเมืองหลัก และหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่าสำหรับการเที่ยวเมืองรอง อีกทั้งยังส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐและวิสาหกิจ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปสัมมนาในต่างพื้นที่ คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาหมุนในระบบเศรษฐกิจอีกอย่างน้อยประมาณ 30,000-50,000 ล้านบาท จากโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว

“ดังนั้น คาดการณ์เศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/68 น่าจะถูกกระตุ้นได้อย่างน้อย 0.5-0.8% ไตรมาสที่ 4/68 จะเติบโตในกรอบประมาณ 0.8-1.1% ทำให้เศรษฐกิจไทยทั้งปี มีโอกาสเติบโตประมาณ 2.0-2.2% ขณะเดียวกัน กรมบัญชีกลาง เริ่มมีการลดระยะเวลาในการประกาศจัดซื้อจัดจ้าง การตรวจรับ และการประมูลจัดซื้อจัดจ้างโดยเร็ว และให้หน่วยงานของรัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสที่ 4/68 และไตรมาสที่ 1/69 ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจมีระบบการหมุนเวียนเพิ่มเติมขึ้น ดังนั้น เชื่อว่าโดยรวมเศรษฐกิจไทยน่าจะโตเกิน 2%” นายธนวรรธน์ ระบุ

ในส่วนของผู้ประกอบการ เมื่อสอบถามว่า คาดว่าจะเข้าร่วมเป็นร้านค้าในโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” หรือไม่ พบว่า 58.4% เข้าร่วมโครงการ (โดย 56.3% ให้เหตุผลว่าจะทำให้ขายได้มากขึ้น และ 20.4% ได้รับเงินช้ากว่าขายปกติมาก) 22.4% ไม่เข้าร่วมโครงการ (โดย 21.4% มีความกังวลเรื่องภาษี, 11.3% กังวลว่าเงินจะไม่เข้าเนื่องจากระบบมีปัญหา, 9.8% กระบวนการเข้าร่วมโครงการยุ่งยาก, 8.5% ยังไม่รู้หลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการที่ชัดเจน และ 3.6% กังวลว่าจะไม่มีลูกค้า) และอีก 19.2% บอกว่ายังไม่แน่ใจ

ส่วนผู้ประกอบการคิดว่า มาตรการ” คนละครึ่ง พลัส” จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ได้หรือไม่นั้น ผลสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการ 31.6% มองว่า กระตุ้นได้ปานกลาง 20.3% กระตุ้นได้มาก 18.0% กระตุ้นได้น้อยมาก 18.0% กระตุ้นได้น้อย 8.3% ไม่สามารถกระตุ้นได้เลย และ 3.8% กระตุ้นได้อย่างมาก

นายธนวรรธน์ ยังกล่าวว่า สถานการณ์เงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่อง 6 เดือน เป็นเพียงเงินฝืดทางเทคนิค เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ แต่เงินเฟ้อพื้นฐานยังขยายตัวเป็นบวก 0.65% เงินเฟ้อทั่วไปรวมอาหารและพลังงาน ซึ่งขึ้นอยู่กับฤดูกาลและสถานการณ์การเมือง คาดการณ์เงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ 0% ไม่ใช่ติดลบทั้งปี ปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อต่ำ คือราคาน้ำมันในตลาดโลกอยู่ประมาณ 65 ดอลลาร์/บาร์เรล และนโยบายของรัฐพยายามทำให้ราคาค่าไฟต่ำกว่า 4 บาท

ขณะเดียวกัน เมื่อรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการคนละครึ่ง พลัส และมาตรการต่าง ๆ อัดเข้าไป 100,000-150,000 ล้านบาท น่าจะดึงราคาสินค้าขึ้น ประกอบกับช่วงที่เหลือเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว เช่นเดือน ต.ค.นี้มีเทศกาลกินเจ เดือนพ.ย. มีเทศกาลลอยกระทง และการส่งเสริมการท่องเที่ยว คาดว่าสถานการณ์เงินฝืดทางเทคนิค น่าจะหมดไปภายใน 1-2 เดือน ดังนั้นจึงไม่มีความน่ากังวลเรื่องเงินฝืด

 

  • กินเจปี 68 คาดเงินสะพัดสูงสุดในรอบ 5 ปี

ม.หอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจเทศกาลกินเจปี 2568 ซึ่งจากผลสำรวจพบว่า มูลค่าการใช้จ่ายโดยรวมในช่วงเทศกาลกินเจปี 68 คาดเงินสะพัดอยู่ที่ 45,903 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนที่ 45,003 ล้านบาท หรือสูงสุดในรอบ 5 ปี สะท้อนให้เห็นว่าคนมองว่าการกินเจเป็นสถานการณ์ปกติ แต่ยังระมัดระวังการใช้จ่าย

“มูลค่าการจับจ่ายใช้สอยโดยรวม เพิ่มขึ้นเพียง 2% ถือว่าเป็นการขยายตัวที่ไม่ได้โดดเด่นมาก เนื่องจากประชาชนยังระมัดระวังการจับจ่าย แม้ว่าประชาชนจะรู้ว่ามีโครงการ “คนละครึ่งพลัส” แต่ยังไม่ได้ลงทะเบียน เนื่องจากการลงทะเบียนจะเริ่มในวันที่ 20 ต.ค. 68 คนที่ลงทะเบียนไปแล้วในเฟสที่ 5 จะได้รับสิทธิ์โดยอัตโนมัติ และเริ่มโครงการวันที่ 29 ต.ค. 68 แต่ช่วงเทศกาลกินเจเริ่มวันที่ 21 ต.ค. 68 ซึ่งคนละครึ่งยังใช้ไม่ได้ โครงการคนละครึ่งพลัส จึงยังไม่มีผลต่อการกินเจมากนักในแง่ของรูปธรรม แต่ในแง่จิตวิทยาน่าจะมีผล” นายธนวรรธน์ กล่าว

ทั้งนี้ พฤติกรรมระหว่าง Generation พบว่า คน Gen Z และ Gen Y ทานเจแบบเน้นความสะดวก ดังนั้น เทศกาลกินเจปีนี้ การใช้ระบบออนไลน์และเดลิเวอรี่น่าจะมีความคึกคักมากขึ้น และสอดรับกับนโยบาย คนละครึ่ง พลัส ของรัฐบาล ที่เปิดโอกาสให้มีการใช้จ่ายกับแอปพลิเคชั่นออนไลน์ด้วย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ต.ค. 68)