
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ได้หารือกับนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะเพิ่มความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระดับประชาชน เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการรักษาความสงบเรียบร้อยชายแดน การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และการอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าผ่านแดน
นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือความร่วมมือในโครงการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งถนน สะพาน และรถไฟ ซึ่งจะมีพิธีเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 อย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าการเชื่อมโยงด้านคมนาคมขนส่งที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะเป็นปัจจัยสำคัญให้ไทยและลาวสามารถบรรลุเป้าหมายการค้าทวิภาคี 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2570
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ได้หารือกับประธานประเทศ สปป.ลาว เพื่อย้ำถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ และขอให้ลาวสนับสนุนโครงการความร่วมมือต่าง ๆ ของไทย รวมถึงช่วยดูแลคนไทยกว่า 5,000 คนในลาว และสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนไทยในประเทศ พร้อมชื่นชมบทบาทของทีมประเทศไทยและภาคเอกชนที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ข้อตกลงระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
จากนั้นนายกรัฐมนตรี ได้ประชุมหารือร่วมกับทีมไทยแลนด์ และพบปะหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้แทนภาคเอกชนไทยจากบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ขอให้ภาคเอกชนไทยดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม และส่งเสริมการจัดกิจกรรม CSR อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างภาพลักษณ์นักลงทุนไทยในฐานะ “นักลงทุนคุณภาพที่ลาวไว้วางใจ” พร้อมสนับสนุนให้ทุกหน่วยงานสร้างเครือข่ายกับบุคคลระดับสูงของลาวในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อขยายเครือข่าย “Friends of Thailand” ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างผลประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืนในลักษณะ win-win ทั้งสองฝ่าย
สำหรับภาคเอกชนไทยที่เข้าร่วม อาทิ UMG Lao, ธนาคารกรุงเทพ, บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ (GULF), บมจ.ราชกรุ๊ป (RATCH), พีทีที ลาว, ซีพี ออลล์ ลาว, น้ำตาลมิตรลาว, เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล ลาว, บริษัทไฟฟ้าหงสา, ทีโอเอ เพ้นท์ (ลาว), เบทาโกร ลาว, ซี.พี.ลาว, มอนซูน วินด์พาวเวอร์, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์, และบริษัทซีไอการค้า ขาออก-ขาเข้า
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ยังได้รับฟังการนำเสนอภาพรวมเศรษฐกิจและธุรกิจใน สปป. ลาว จากผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เวียงจันทน์ ซึ่งครอบคลุมปัญหาด้านการประกอบธุรกิจต่าง ๆ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ อาทิ อัตราแลกเปลี่ยนและเงินเฟ้อ ตลอดจนแนวทางส่งเสริมการประกอบธุรกิจ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้แทนภาคเอกชนไทย โดยรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอจากทุกภาคส่วน เพื่อพิจารณาแนวทางสนับสนุนที่เหมาะสม พร้อมยืนยันว่าจะเดินหน้าขับเคลื่อนความร่วมมือไทย-ลาวให้เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความมั่นคงและความมั่งคั่งร่วมกันของประชาชนทั้งสองประเทศโอกาสนี้ ที่ประชุมฯ ยังหารือครอบคลุม 5 ประเด็นหลัก ได้แก่
1. การส่งเสริมการค้าและการลงทุน โดยตั้งเป้าหมายการค้าทวิภาคี 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2570 และเตรียมจัดประชุม JC COOP ครั้งที่ 8 เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนและ SMEs
2. การอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์ โดยขอให้ฝ่ายลาวดูแลการขนส่งผลไม้จากไทยผ่านลาวไปจีน รวมถึงค่าธรรมเนียมและการอนุญาตให้รถบรรทุกไทยใช้สถานีเวียงจันทน์เพื่อขนถ่ายสินค้าขึ้นรถไฟลาว-จีนโดยตรง
3. การแก้ปัญหาภาษีหลายรายการ ที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง โดยจะผลักดันให้มีระเบียบที่ชัดเจนและโปร่งใส
4. การพัฒนาศักยภาพบุคลากรลาว เพื่อรองรับการลงทุนของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมไทยในลาว
5. การรองรับอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ต.ค. 68)