
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย [KTAM] เปิดเผยว่า ปัจจุบันกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยียังสามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นและต่อเนื่อง จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตได้เร็ว รวมถึงหุ้นในบริษัททั่วโลกที่มีการนำปัจจัยด้าน ESG มาวิเคราะห์การลงทุน ซึ่งมองว่าเป็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจและสามารถสร้างโอกาสเติบโตในระยะยาวได้ ฯ จึงได้เปิดเสนอขาย 2 กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยเปิดเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 28 ต.ค.-5 พ.ย.68 นี้ ทั้ง 2 กองทุน ประกอบด้วย
กองทุนเปิดเคแทม Global Sustainable Growth Equity เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-GESG RMF) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Schroder International Selection Fund Global Sustainable Growth (กองทุนหลัก) โดยกองทุนหลักบริหารจัดการแบบเชิงรุก (Active Investing) และจะเน้นลงทุนในหุ้นทุนของบริษัททั่วโลกที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยมีการนำปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล หรือบรรษัทภิบาล (ESG) มาประกอบการวิเคราะห์ในการลงทุน
สำหรับกองทุนหลักจะเน้นการลงทุนแบบกระจุกตัว (High Conviction) ในหุ้นที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืนเพียง 30-50 ตัว เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยใช้กระบวนการวิเคราะห์การลงทุนแบบ Bottom-Up และสามารถลงทุนได้อย่างยืดหยุ่น โดยไม่มีข้อจำกัด (Unconstrained Portfolio) พร้อมทั้งจะทำการคัดกรองบริษัทที่จะเข้าลงทุนโดยไม่ลงทุนในบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้บางส่วนจากธุรกิจพลังงานฟอสซิล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ การค้าอาวุธ การพนัน การค้ามนุษย์ และการค้าอวัยวะ เป็นต้น โดยเบื้องต้นกองทุนหลักได้ลงทุนในหลักทรัพย์ 5 อันดับแรก ได้แก่ Microsoft Corp, Alphabet Inc, NVIDIA Corp, TSMC และ Booking Holding Inc (ที่มา: Schroder Investment Management, ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 68) หมายเหตุ สัดส่วนและหลักทรัพย์ที่ลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหลัก
และกองทุนเปิดเคแทม World Technology เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-TECHNOLOGY RMF) (ความเสี่ยงระดับ 7) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Fidelity Funds – Global Technology Fund (กองทุนหลัก) โดยกองทุนหลักจะเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลก รวมถึงประเทศตลาดเกิดใหม่ ที่มีการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์ กระบวนการ หรือการให้บริการ หรือที่จะได้รับประโยชน์จากความก้าวหน้าหรือการพัฒนาเทคโนโลยี โดยจุดเด่นของกองทุนนี้มาจากที่มีการกระจายการลงทุนในหุ้นทั่วโลก และสามารถหาโอกาสในการลงทุนได้จากหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่จำกัดเพียงแต่การลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว จึงสามารถหาโอกาสการลงทุนได้ทั้งจากหุ้นเติบโต (Growth) และหุ้นคุณค่า (Value) ทั้งในกลุ่มเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม และกลุ่มเทคโนโลยีสมัยใหม่
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับระดับราคา (Valuation) จึงส่งผลให้ในปัจจุบันกองทุนหลักมีน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 หรือหุ้น 7 นางฟ้า ต่ำกว่าดัชนีอ้างอิง ทั้งยังมีน้ำหนักการลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-ขนาดเล็ก (Mid-Small Cap) ที่มากกว่าดัชนีอ้างอิง ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่มีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการถูกเข้าซื้อและควบรวมกิจการ (M&A) รวมถึงเป็นหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ด้วย โดยเบื้องต้นกองทุนหลักได้ลงทุนในหลักทรัพย์ 5 อันดับแรก ได้แก่ TSMC, Microsoft Corp, Apple Inc, Alphabet Inc และ Amazon (ที่มา: FIL Investment Management, ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 68) หมายเหตุ สัดส่วนและหลักทรัพย์ที่ลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหลัก
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ต.ค. 68)





