
ตลอดระยะเวลาเกือบ 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ต้องปิดทำการบางส่วน เนื่องจากสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวได้ทันภายในเส้นตายงบประมาณเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ส่งผลให้หน่วยงานรัฐหลายแห่งต้องปิดประตูชั่วคราว และเจ้าหน้าที่หลายแสนคนต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง
กระทั่งวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา วุฒิสภาสหรัฐฯ ลงมติผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวด้วยคะแนน 60 ต่อ 40 เสียง ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่จะเปิดทางให้รัฐบาลกลับมาทำงานได้อีกครั้ง หลังต้องหยุดชะงักยาวนานกว่า 40 วัน
โดยขณะนี้ ร่างดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเปิดสมัยประชุมในวันนี้ 12 พฤศจิกายน ก่อนส่งให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามเป็นกฎหมายเพื่อยุติภาวะ “ชัตดาวน์” ที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน
โอบามาแคร์: เงื่อนตายทางการเมือง
ศูนย์กลางของความขัดแย้งในวิกฤตครั้งนี้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขงบประมาณเพียงอย่างเดียว หากแต่คือการต่อรองทางนโยบายระหว่างสองพรรคการเมืองใหญ่
ฝ่ายรีพับลิกัน ซึ่งครองทำเนียบขาวและมีเสียงข้างมากในรัฐสภา ต้องการผลักดันร่างงบประมาณชั่วคราวแบบ “สะอาด” หรือ Clean Resolution โดยไม่พ่วงเงื่อนไขอื่นใด เพื่อให้รัฐบาลสามารถกลับมาดำเนินงานได้ทันที ขณะที่ฝ่ายเดโมแครตเรียกร้องให้ร่างงบประมาณดังกล่าวต้องรวมมาตรการขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี ภายใต้กฎหมายประกันสุขภาพถ้วนหน้า Affordable Care Act (ACA) หรือ “โอบามาแคร์” ซึ่งกำลังจะหมดอายุในสิ้นปีนี้
แม้ทั้งสองฝ่ายจะต่างประกาศว่าต้องการหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อประชาชน แต่การต่อรองดังกล่าวกลับกลายเป็นการประลองกำลังทางการเมือง โดยฝ่ายทรัมป์กล่าวหาฝ่ายเดโมแครตว่า “จับรัฐบาลเป็นตัวประกัน” ขณะที่ ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา โต้กลับว่าการชัตดาวน์ครั้งนี้คือ “ผลงานของประธานาธิบดีทรัมป์เอง”
ผลกระทบที่แผ่ขยายเกินกว่าการเมือง
การชัตดาวน์ครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบราชการและเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ประเมินว่า ความเสียหายอาจสูงถึงราว 7 พันล้าน ถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ และอาจฉุด GDP ในไตรมาสที่ 4 ลงประมาณ 1-2% หากวิกฤตยืดเยื้อเกินกลางเดือนพฤศจิกายน
เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางกว่า 750,000 คนได้รับผลกระทบโดยตรง บางส่วนถูกพักงาน ขณะที่บางส่วนซึ่งจัดอยู่ในตำแหน่ง “งานจำเป็น” เช่น เจ้าหน้าที่ควบคุมการบินและเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ได้รับค่าจ้าง ส่งผลให้หลายสนามบินเกิดปัญหาขาดแคลนบุคลากรและให้บริการล่าช้า ขณะที่ภารกิจสืบสวนของสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากขาดงบประมาณสำหรับจ่ายค่าตอบแทนสายข่าวและงบปฏิบัติการลับ
โครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เช่น SNAP (โครงการบัตรสวัสดิการอาหาร) ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากขาดงบประมาณสนับสนุน ขณะเดียวกัน สำนักงานสถิติแรงงานและหน่วยงานเศรษฐกิจอื่น ๆ ต้องเลื่อนการเผยแพร่ข้อมูลสำคัญ เช่น ตัวเลขจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประเมินทิศทางเศรษฐกิจได้ยากขึ้น
แสงแห่งความหวัง: วุฒิสภาเปิดทางยุติวิกฤต…ชั่วคราว
ร่างงบประมาณที่ผ่านการลงมติในวุฒิสภาเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน มีสาระสำคัญคือ การจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานรัฐบาลดำเนินงานได้ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 30 มกราคม 2569 พร้อมรับรองการจ่ายค่าจ้างย้อนหลังให้พนักงานที่ได้รับผลกระทบ และระงับคำสั่งเลิกจ้างในช่วงชัตดาวน์
อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังไม่ได้รวมการขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้ ACA ซึ่งเป็นเงื่อนไขหลักของพรรคเดโมแครต โดยจอห์น ธูน ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาจากพรรครีพับลิกัน ให้คำมั่นว่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาอีกครั้งภายในเดือนธันวาคม
นั่นหมายความว่า แม้รัฐบาลจะกลับมาเปิดทำการได้ในไม่ช้า แต่ “สงครามงบประมาณ” และการต่อรองเชิงนโยบายด้านสุขภาพยังไม่จบสิ้น
หลังม่านการเมือง: เกมที่ไม่มีผู้ชนะ
นักวิเคราะห์หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า วิกฤตชัตดาวน์ครั้งนี้ไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง ทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครตต่างสูญเสียความเชื่อมั่นจากประชาชน ขณะที่เศรษฐกิจ ระบบราชการ และประชาชนอเมริกันต้องกลายเป็นผู้รับเคราะห์โดยตรง
การเปิดทำการของรัฐบาลในเร็ว ๆ นี้อาจช่วยบรรเทาความเสียหายได้ แต่หากความขัดแย้งด้านนโยบายยังคงดำเนินต่อไป “เงาชัตดาวน์” อาจหวนกลับมาอีกครั้งในอนาคตอันใกล้
อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะไปถึงจุดนัน ขณะนี้สายตาทั้งสหรัฐฯ รวมถึงทั่วโลก ต่างจับจ้องไปที่การลงมติของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในเวลา 16.00 น. ของวันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับ 04.00 น. ของวันพรุ่งนี้ (13 พ.ย.) ตามเวลาไทย เราคงต้องติดตามกันต่อไปว่า การเมืองสหรัฐฯ จะเดินหน้าอย่างไรท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังไม่คลี่คลายนี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 พ.ย. 68)





