เพื่อไทย ค้านเลือก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ สูตร “20 หยิบ 1” เชื่อหนีไม่พ้นกินรวบ!

ชลน่าน ศรีแก้ว

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) พ.ศ.… รัฐสภา กล่าวถึงสูตรในการเลือกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในรูปแบบ “20 หยิบ 1” ว่า ผู้คิดสูตรนี้ต้องการป้องกันการกินรวบ จึงให้สมาชิกรัฐสภา 20 คน เสนอ 1 รายชื่อ เป็นกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้มีเสียงข้างน้อยเข้าไปเป็นกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญได้

ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่าแม้จะมีเสียงส่วนน้อยเข้าไปมีส่วนร่างรัฐธรรมนูญ แต่ไม่สามารถป้องกันไม่ให้มี กมธ.เสียงข้างมากได้ เช่น สว.เสียงข้างมากมี 160 คน ก็ได้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 8 คน สส.เสียงข้างมาก 300 คน จะได้กมธ.ยกร่าง 15ค น รวมเป็น 23 คน หาก 23ค นนี้ต้องการให้หน้าตารัฐธรรมนูญไปในทิศทางใดสามารถกำหนดได้ ขณะที่กมธ.ยกร่างอีก 12 คนไม่สามารถคัดค้านได้ เพราะกมธ.ที่ตั้งขึ้นนี้ จะทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญที่ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จก่อนส่งให้รัฐสภา

นพ.ชลน่าน มองว่าวิธี “20 หยิบ 1” ป้องกันได้แค่การฮั้วเลือกคนไปยกร่าง แต่ไม่สามารถป้องกันเสียงข้างมาก แล้วมองข้ามความคิดเห็นเสียงข้างน้อยได้

“พูดง่ายๆ สีใดครองเสียงข้างมากในรัฐสภาได้ รัฐธรรมนูญย่อมเป็นไปเพื่อสีนั้น ดังนั้น จะเสนอและสงวนความเห็นวิธีที่จะทำให้การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่เป็นไปตามเสียงข้างมากของสีใดสีหนึ่ง ต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อให้ กมธ.ไม่เป็นเสียงข้างมากของสีใดสีหนึ่ง” นพ.ชลน่าน ระบุ

 

  • “จาตุรนต์” ชี้ “20 หยิบ 1” ไม่ใช่ยาวิเศษ

ขณะที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) และกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมรัฐสภา โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า วิธีการคัดเลือกกรรมาธิการยกร่างโดยใช้สูตร “20 หยิบ 1” ยังเป็นปัญหา เพราะเมื่อไม่มีการเลือกตั้งของประชาชนมาก่อน ตามที่ระบุไว้ในร่างหลักของพรรคประชาชน จะทำให้ได้คณะกรรมาธิการที่ไม่หลากหลาย และยังทำให้เสียงข้างมากในสภาฯ กำหนดตัวบุคคลได้ ซึ่ง “20 หยิบ 1” อาจไม่ใช่ยาวิเศษเสียแล้ว

เดิมในร่างหลักของพรรคประชาชน กำหนดให้มีการสมัครเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้ผู้ที่ต้องการเป็นกรรมาธิการสมัครเป็นบัญชีรายชื่อเป็นกลุ่ม ๆ ใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง แล้วให้ประชาชนทั่วประเทศเลือกมาก่อนให้ได้ 70 คนที่ได้คะแนนสูงสุด แล้วให้รัฐสภาเลือกให้เหลือ 35 คน โดยใช้ “สูตร 20 หยิบ 1” ที่หวังว่าจะได้กรรมาธิการที่ประชาชนทั่วประเทศเลือกกันมาแล้วชั้นหนึ่ง แล้วสูตร 20 หยิบ 1 จะทำให้ได้กรรมาธิการกระจายไปตามสัดส่วนของสมาชิกรัฐสภา เพื่อไม่ให้เสียงข้างมากได้ไปหมด สูตร 20 หยิบ 1 นี้

“ความจริง คล้ายกับวิธีการตั้งกรรมาธิการในสภา ที่ต้องการให้แต่ละพรรคการเมือง เสนอตัวแทนตามสัดส่วนของจำนวน สส.ของแต่ละพรรค พรรคใหญ่ก็จะมีกรรมาธิการมาก พรรคเล็กก็มีกรรมาธิการน้อย แต่วิธีปกติในรัฐสภาไม่ได้เปิดรับสมัคร แต่ใช้วิธีแต่ละพรรคเสนอชื่อตามจำนวนที่ต้องการไปเลย” นายจาตุรนต์ ระบุ

แต่ร่างหลักของพรรคประชาชน ได้เอาสูตรแบบนี้มาใช้กับการเลือกกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ที่ต้องการผสมผสานกับการเลือกตั้งโดยประชาชนก่อน ข้อดีจึงอยู่ที่เปิดให้ประชาชนสมัครกันมาก ๆ ได้ และให้ประชาชนทั่วประเทศเลือกให้เหลือ 70 คน ซึ่งจะมาจากประชาชนและไม่มีใครครอบงำได้ง่าย ๆ

“20 หยิบ 1 จึงหยิบจาก 70 ที่มาจากการเลือกตั้งของคนทั้งประเทศเสียก่อน แต่ขณะนี้ “การเลือกตั้งดังกล่าวตกไปแล้ว” ในชั้นกรรมาธิการ วิธีที่ผ่านการโหวตในชั้นกรรมาธิการมา จะออกมาในรูปแบบที่ขั้นแรกผู้สมัครทั้งหมดที่ได้รับการตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว จะกี่ร้อย กี่พัน หรือกี่หมื่นคนก็ตาม จะถูกส่งไปในชั้นที่ 2 คือรัฐสภาเลือกให้เหลือ 35 คน โดยใช้สูตร 20 หยิบ 1″ นายจาตุรนต์ กล่าว

พร้อมระบุว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ “สูตร 20 หยิบ 1” อาจไม่ใช่วิธีที่ทำให้กรรมาธิการมีความหลากหลาย และยังไม่สามารถป้องกันปัญหาการที่คณะกรรมาธิการถูกกำหนดโดยฝ่ายเสียงข้างมากของของรัฐสภาอยู่ดี เพราะไม่มีการคัดกรองมาก่อนจากการเลือกตั้งของประชาชน ที่สำคัญจะมีปัญหาที่ประชาชนอาจรู้สึกว่า จะสมัครเป็นกรรมาธิการยกร่างกันไปทำไมในเมื่อ 35 กลุ่ม กลุ่มละ 20 คนนั้นเขาอาจจะมีคนในใจ หรือเป็นผู้ที่เขาต้องการให้เป็นกรรมาธิการไปสมัครไว้แล้ว หรือพูดอีกแบบคือเป็น “หวยล็อค” ไปแล้ว กลายเป็น 20 เสนอ 1 คล้ายกับการเลือกกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎรตามปกติ การที่หวังว่าเมื่อเปิดรับสมัครแล้ว จะมีประชาชนมาสมัครกันมาก ๆ แต่เมื่อเป็นแบบนี้ จะมีคนมาสมัครกันหรือ

“ผมจึงยังเป็นห่วงว่า วิธีการให้ได้มาซึ่งคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญแบบนี้ สุดท้ายแล้ว อาจจะมีคนมาสมัครน้อยมาก แล้ว 20 หยิบ 1 ก็จะไม่ได้มีประโยชน์มากอย่างที่คิดไว้ และไม่ทำให้การได้มาของคณะกรรมาธิการเป็นที่ยอมรับของสังคม ถ้าคณะกรรมาธิการเราเห็นปัญหาร่วมกัน ก็คงต้องช่วยกันคิดหาทางแก้ปัญหา ซึ่งถ้าจำเป็นผมก็เห็นว่า ต้องทบทวนวิธีการคัดกรอง” นายจาตุรนต์ กล่าว

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 พ.ย. 68)