
รัฐบาลสหราชอาณาจักร (UK) ได้ประกาศเมื่อวันเสาร์ (15 พ.ย.) ถึงแผนการปฏิรูปนโยบายว่าด้วยผู้ขอลี้ภัยครั้งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยใหม่ โดยจะดำเนินรอยตามแนวทางอันเข้มงวดของประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่แข็งกร้าวที่สุดในยุโรปและถูกทักท้วงอย่างหนักจากองค์กรสิทธิมนุษยชน
รัฐบาลพรรคแรงงานได้ดำเนินนโยบายคนเข้าเมืองที่แข็งกร้าวยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อปัญหาการลักลอบข้ามแดนจากฝรั่งเศสด้วยเรือขนาดเล็ก ทั้งนี้เพื่อหวังลดกระแสความนิยมที่กำลังพุ่งสูงขึ้นของพรรคปฏิรูปสหราชอาณาจักร (Reform UK) ซึ่งเป็นพรรคประชานิยมที่ชูประเด็นปัญหาคนเข้าเมืองเป็นธงนำ จนบีบให้พรรคแรงงานจำต้องปรับท่าทีให้แข็งข้อตาม
ส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยระบุในแถลงการณ์ว่า จะมีการเพิกถอนพันธกรณีตามกฎหมายที่จะต้องให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ขอลี้ภัยบางกลุ่ม อาทิ ที่พักอาศัยและเงินช่วยเหลือรายสัปดาห์
กระทรวงฯ ซึ่งมีชาบานา มะฮ์มูด เป็นรัฐมนตรีว่าการ ชี้แจงว่ามาตรการดังกล่าวจะบังคับใช้กับผู้ขอลี้ภัยที่สามารถทำงานได้แต่กลับเลือกที่จะไม่ทำ รวมไปถึงผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย พร้อมย้ำว่าเงินสนับสนุนจากภาษีของประชาชนจะถูกจัดสรรให้กับผู้ที่สร้างคุณประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและชุมชนเป็นสำคัญ
เป็นที่คาดหมายว่า มะฮ์มูดจะแถลงรายละเอียดของมาตรการเพิ่มเติมในวันจันทร์ (17 พ.ย.) ซึ่งทางกระทรวงมหาดไทยระบุว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อลดแรงจูงใจของผู้อพยพผิดกฎหมายที่มุ่งหมายจะมายัง UK และเพื่อทำให้กระบวนการผลักดันส่งกลับเป็นไปโดยง่ายขึ้น
“ประเทศนี้มีธรรมเนียมอันน่าภาคภูมิในการต้อนรับผู้ที่ลี้ภัยอันตรายมา แต่ความโอบอ้อมอารีของเรากลับกลายเป็นเครื่องชักนำให้ผู้อพยพผิดกฎหมายหลั่งไหลข้ามช่องแคบอังกฤษ” มะฮ์มูดกล่าว “ทั้งจำนวนและความรวดเร็วของการอพยพย้ายถิ่นกำลังสร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลต่อชุมชนของเรา”
ขณะเดียวกัน องค์กรการกุศลใน UK กว่า 100 แห่ง ได้ร่วมกันลงนามในจดหมายถึงมะฮ์มูด เรียกร้องให้ “ยุติการผลักไสให้ผู้ย้ายถิ่นกลายเป็นแพะรับบาป และเลิกใช้นโยบายที่มุ่งหวังเพียงสร้างภาพซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหาย” โดยชี้ว่าการกระทำเช่นนี้มีแต่จะยิ่งโหมกระพือการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรง
ผลสำรวจความเห็นชี้ว่า ปัญหาคนเข้าเมืองได้กลายเป็นประเด็นที่น่ากังวลสูงสุด แซงหน้าปัญหาเศรษฐกิจไปแล้ว โดยในช่วง 12 เดือนจนถึงเดือนมี.ค. 2568 มีผู้ยื่นคำร้องขอลี้ภัยใน UK มากถึง 109,343 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 17% และสูงกว่าสถิติสูงสุดเมื่อปี 2545 ซึ่งอยู่ที่ 103,081 คน ถึง 6%
กระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า การปฏิรูปครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงเดนมาร์กเป็นต้นแบบ หากแต่ยังรวมถึงประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ที่ซึ่งสถานะผู้ลี้ภัยมีลักษณะเป็นเพียงการชั่วคราว การให้ความช่วยเหลือล้วนมีเงื่อนไข และผู้ลี้ภัยถูกคาดหวังให้ปรับตัวเข้ากับสังคมเจ้าบ้าน
เมื่อช่วงต้นปี คณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยได้เดินทางไปยังกรุงโคเปนเฮเกน เพื่อศึกษาแนวปฏิบัติของเดนมาร์ก ซึ่งจะให้ใบอนุญาตพำนักแก่ผู้ย้ายถิ่นเป็นเพียงการชั่วคราว มีกำหนดเวลาโดยทั่วไป 2 ปี และต้องยื่นคำร้องใหม่เมื่อครบกำหนด
หากรัฐบาลพรรคโซเชียลเดโมแครตของเดนมาร์กพิจารณาแล้วเห็นว่าประเทศต้นทางมีความปลอดภัย ผู้ขอลี้ภัยก็อาจถูกส่งตัวกลับได้ นอกจากนี้ กระบวนการขอสัญชาติก็ถูกทำให้ยืดยาวและยุ่งยากขึ้น พร้อมทั้งมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดกว่าเดิมสำหรับการขอนำครอบครัวมาอยู่ด้วย
ปัจจุบัน UK จะให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่บุคคลที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนไม่ปลอดภัยในประเทศบ้านเกิด โดยสถานะดังกล่าวจะมีอายุ 5 ปี หลังจากนั้นจึงจะสามารถยื่นขอตั้งถิ่นฐานถาวรได้หากมีคุณสมบัติตามเกณฑ์
ทั้งนี้ เดนมาร์กใช้นโยบายคนเข้าเมืองที่เข้มงวดมานานกว่าทศวรรษ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยของ UK ระบุว่าส่งผลให้จำนวนผู้ขอลี้ภัยลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 40 ปี และสามารถผลักดันผู้ยื่นคำร้องที่ถูกปฏิเสธกลับประเทศได้ถึง 95%
อย่างไรก็ตาม สภาผู้ลี้ภัยแห่งสหราชอาณาจักรได้แสดงความเห็นผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า ในยามที่ต้องหลบหนีภยันตราย ผู้ลี้ภัยย่อมไม่มีแก่ใจมาเปรียบเทียบระบบการขอลี้ภัยของแต่ละประเทศ เหตุที่พวกเขามายัง UK นั้นเป็นเพราะมีสายสัมพันธ์ทางครอบครัว พอมีความรู้ภาษาอังกฤษอยู่บ้าง หรือมีเครือข่ายเดิมที่พอจะช่วยให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างปลอดภัย
การปฏิรูปของเดนมาร์ก ซึ่งเกิดขึ้นขณะที่ประเทศยังคงเป็นภาคีของอนุสัญญายุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ได้จุดประกายให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยกลุ่มสิทธิมนุษยชนชี้ว่ามาตรการเหล่านี้ได้สร้างบรรยากาศแห่งความเป็นปรปักษ์ต่อผู้ย้ายถิ่น บั่นทอนหลักการให้ความคุ้มครอง และทิ้งให้ผู้ขอลี้ภัยต้องเผชิญกับสภาวะแห่งความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้อยาวนาน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 พ.ย. 68)





