In Focus: นับถอยหลังการประชุมสุดยอด G20 ที่แอฟริกาใต้ เมื่อสหรัฐฯ ทิ้งเวที เปิดทาง Global South ผงาด

การประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ประเทศ หรือ G20 กำลังจะเปิดฉากขึ้น ณ นครโจฮันเนสเบิร์ก สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ในวันเสาร์ที่ 22 ถึงวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายนนี้ การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นบนแผ่นดินแอฟริกา อย่างไรก็ตาม เวทีสำคัญนี้กลับถูกปกคลุมด้วยความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศคว่ำบาตรไม่เข้าร่วมของสหรัฐอเมริกา

การสร้างช่องว่างของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ อาจเปิดโอกาสให้มหาอำนาจอื่น ๆ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศโลกใต้ (Global South) และจีน เข้ามามีบทบาทในการกำหนดวาระโลกมากขึ้น ในขณะที่นานาชาติกำลังจับตาว่า ท่ามกลางการขาดหายไปของประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐฯ การประชุมครั้งนี้จะส่งผลอย่างไรต่อทิศทางของธรรมาภิบาลโลก และจะนำไปสู่การปฏิรูปที่เอื้อต่อประเทศกำลังพัฒนาตามที่เจ้าภาพต้องการได้หรือไม่

G20 คืออะไร และสำคัญแค่ไหน

G20 ก่อตั้งขึ้นในปี 2542 ภายหลังวิกฤตการณ์การเงินเอเชียเมื่อปี 2540-2541 โดยเริ่มต้นจากการเป็นเวทีอย่างไม่เป็นทางการสำหรับรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลาง ต่อมาเมื่อเกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 กลุ่ม G20 จึงได้ถูกยกระดับเป็นการประชุมระดับประมุขแห่งรัฐ/ผู้นำรัฐบาล

สมาชิกกลุ่ม G20 มี 19 ประเทศด้วยกัน ได้แก่ อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย อินโดนีเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ ตุรกี สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา รวมถึงผู้แทนสหภาพยุโรป (EU) และตั้งแต่ปี 2566 สหภาพแอฟริกา (AU) ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกถาวร

G20 ได้รับการยอมรับว่าเป็นเวทีสำคัญให้ประเทศสมาชิกใช้ประสานงานทางเศรษฐกิจและการเงิน มีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 85% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของทั้งโลก, 75% ของการค้าโลก และสองในสามของประชากรโลก G20 มีบทบาทในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโลก แม้จะไม่มีอำนาจบังคับใช้ แต่การตัดสินใจของที่ประชุมมีอิทธิพลต่อวาระขององค์กรระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ธนาคารโลก และองค์การการค้าโลก (WTO)

วาระการประชุม G20 โดยแอฟริกาใต้

แอฟริกาใต้รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด G20 ครั้งนี้ โดยนำเสนอแนวคิดหลักคือ “Solidarity, Equality, Sustainability” (ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความเท่าเทียม ความยั่งยืน) ด้วยความมุ่งหวังที่จะขับเคลื่อนวาระของกลุ่มประเทศโลกใต้

สำหรับระเบียบวาระการประชุมที่สำคัญ ได้แก่

ปฏิรูปหนี้สิน: ภายในการประชุมอาจมีการรณรงค์ให้กลุ่ม G20 ร่วมมือกับ IMF เพื่อริเริ่มแผนรีไฟแนนซ์หนี้ให้กับประเทศที่มีรายได้น้อย ซึ่งเผชิญกับภาระหนี้หนัก

ขับเคลื่อนวาระแอฟริกา: นำประเด็นการพัฒนาของแอฟริกามาเป็นวาระสำคัญ โดยเฉพาะการสนับสนุนความริเริ่ม Compact with Africa (CwA) เพื่อดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน

ผลักดันเศรษฐกิจ: ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและยั่งยืน

สร้างโลกที่ยืดหยุ่น: มุ่งลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และระบบอาหาร

สร้างอนาคตที่เป็นธรรมสำหรับทุกคน: โดยเน้นไปที่แร่ธาตุสำคัญ การจ้างงานที่มีคุณภาพ และปัญญาประดิษฐ์ (AI)

ประเทศที่เข้าร่วม

การประชุม G20 ครั้งนี้ มีการยืนยันการเข้าร่วมจาก 42 ประเทศและองค์กรในระดับต่าง ๆ ไม่รวมสหรัฐอเมริกาที่ประกาศคว่ำบาตร โดยนอกเหนือจากประเทศสมาชิกกลุ่ม G20 แล้ว แอฟริกาใต้ยังได้เชิญอีกหลายประเทศเข้าร่วมการประชุมสุดยอดครั้งนี้ อาทิ มาเลเซีย (ในฐานะประธานอาเซียน ประจำปี 2568) เวียดนาม เดนมาร์ก อียิปต์ ฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ ไนจีเรีย นอร์เวย์ โปรตุเกส สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเนเธอร์แลนด์ ส่วนสเปนเป็นประเทศรับเชิญถาวร

ขณะเดียวกัน องค์กรระหว่างประเทศที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดที่แอฟริกาใต้ ยังมีองค์การสหประชาชาติ (UN), IMF, ธนาคารโลก, WTO, องค์การอนามัยโลก (WHO), องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO), องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ตลอดจนองค์กรที่เกี่ยวข้องกับแอฟริกา เช่น ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งแอฟริกา (AFDB), เขตการค้าเสรีภาคพื้นทวีปแอฟริกา (AfCFTA) และประชาคมเศรษฐกิจรัฐแอฟริกากลาง (ECCAS)

ผลพวงจาก ‘เก้าอี้ว่าง’ ของสหรัฐฯ

การประชุม G20 ที่แอฟริกาใต้กลายเป็นที่จับตา หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศชัดเจนว่า จะไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ คนใดเข้าร่วมการประชุมสุดยอดปลายเดือนนี้ ตราบใดที่แอฟริกาใต้ยังคง “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” พร้อมย้ำคำกล่าวอ้างที่ว่า แอฟริกาใต้ปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อเกษตรกรผิวขาว

ทรัมป์ระบุว่า “เป็นเรื่องน่าละอายอย่างยิ่งที่การประชุม G20 จะจัดขึ้นในแอฟริกาใต้ คนแอฟริกันเนอร์ (Afrikaners) กำลังถูกฆ่าและสังหาร และที่ดินรวมถึงฟาร์มของพวกเขาถูกยึดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย” โดยชาวแอฟริกันเนอร์หมายถึงผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากผู้ตั้งถิ่นฐานชาวดัตช์ รวมถึงผู้อพยพชาวฝรั่งเศสและเยอรมัน

การขาดหายไปของสหรัฐฯ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมองว่าโอกาสที่จะมีการออกแถลงการณ์ผู้นำ (Leaders’ Declaration) ซึ่งต้องบรรลุข้อตกลงร่วมกันอาจล้มเหลว และน่าจะจบลงด้วยแถลงการณ์ของประธาน (Chair’s Statement) ที่มีน้ำหนักน้อยกว่าแทน แอฟริกาใต้ยังต้องส่งมอบตำแหน่งประธาน G20 ให้กับเก้าอี้ว่างในเชิงสัญลักษณ์ด้วย เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพรายต่อไปในปีหน้า

ผลจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ทำให้ประธานาธิบดีฆาบิเอร์ มิเลย์ ของอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นพันธมิตรของทรัมป์ ถอนตัวจากการประชุมระดับผู้นำเช่นกัน แต่ยังส่งรัฐมนตรีต่างประเทศร่วมประชุมแทน

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ก็จะไม่เข้าร่วมการประชุมสุดยอด G20 ด้วย เพราะตัวเขาถูกศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ออกหมายจับฐานรุกรานยูเครน และด้วยเหตุที่แอฟริกาใต้เป็นรัฐสมาชิก ICC จึงมีความเสี่ยงที่ผู้นำรัสเซียจะถูกจับกุม อย่างไรก็ดี ปูตินส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่แทน ขณะที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เตรียมส่งนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง เป็นตัวแทน

อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์บางส่วนมองว่าการที่ทรัมป์ไม่เข้าร่วม อาจจะช่วยลดความตึงเครียด และป้องกันไม่ให้วาระการประชุมถูกบดบังด้วยความขัดแย้งทางการเมือง

โอกาสทองของ BRICS และจีน

การประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ที่แอฟริกาใต้ กำลังดำเนินไปภายใต้เงาของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกา ซึ่งนำโดยประธานาธิบดีทรัมป์

นักวิเคราะห์มองว่า การขาดหายไปของประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ ได้เปิดโอกาสสำคัญให้กลุ่มประเทศ Global South โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม BRICS และประเทศจีน ได้เข้ามามีอิทธิพลในการกำหนดทิศทางของวาระโลกมากขึ้น

การเป็นเจ้าภาพ G20 ของแอฟริกาใต้ในปีนี้ ถือเป็นครั้งแรกบนแผ่นดินแอฟริกา และแอฟริกาใต้ยังเป็นสมาชิก BRICS รายที่ 5 ที่ได้เป็นประธาน G20 ต่อจากบราซิล รัสเซีย จีน และอินเดีย แอฟริกาใต้ในฐานะเจ้าภาพ สามารถใช้โอกาสนี้ในการระดมการสนับสนุนสำหรับเศรษฐกิจกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการปฏิรูปหนี้

การที่สหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรการประชุม G20 โดยปฏิเสธวาระสำคัญของเจ้าภาพ เช่น การสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด และการจัดการหนี้ที่ยั่งยืน จึงกลายเป็นการสร้างพื้นที่ให้ประเทศอื่น ๆ เข้ามาเติมเต็มบทบาทผู้นำ หนึ่งในนั้นคือ จีน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแกนนำสำคัญในกลุ่ม BRICS และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก โดยจีนกำลังผลักดันแนวคิดพหุภาคีเพื่อเพิ่มเสียงของประเทศกำลังพัฒนา การที่สหรัฐฯ ขาดหายไปยิ่งส่งเสริมให้จีนสามารถผลักดันวาระเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ จีนมองว่าระบบปัจจุบันมีจุดอ่อนสำคัญคือ กลุ่ม Global South มีตัวแทนน้อยเกินไป จีนจึงมุ่งหวังที่จะแก้ไขความไม่สมดุลนี้ผ่านการมีส่วนร่วมในการประชุม

การที่สมาชิกหลักอย่างสหรัฐฯ ปฏิเสธการเข้าร่วม G20 ระดับผู้นำครั้งนี้ จึงเป็นการเปิดเวทีให้แอฟริกาใต้และจีน เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนวาระ Global South อย่างเต็มที่ โดยมุ่งเน้นที่ความเท่าเทียมและการปฏิรูประบบธรรมาภิบาลโลกที่เอื้อต่อประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น อีกทั้งการประชุมครั้งนี้ยังเป็นโอกาสที่กลุ่ม Global South จะสามารถแสดงให้เห็นว่า ความร่วมมือระดับโลกยังคงเดินหน้าต่อไปได้ แม้จะไม่มีการนำจากขั้วอำนาจดั้งเดิมก็ตาม

โอกาสของไทย

แม้ไทยไม่ได้เป็นประเทศรับเชิญเข้าร่วมการประชุมสุดยอด G20 ในปีนี้ แต่การที่แอฟริกาใต้เชิญประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม เข้าร่วม ทำให้ไทยในฐานะสมาชิกอาเซียนและประเทศกลุ่มโลกใต้ มีโอกาสได้รับผลบวกทางอ้อมจากวาระการประชุมซึ่งเน้นไปที่

ความมั่นคงด้านอาหาร: ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญของวาระแอฟริกาใต้

การค้าและการลงทุน: G20 เป็นเวทีสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบการค้าพหุภาคี

การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม: หารือเรื่องการระดมทุนและแร่ธาตุสำคัญ เพื่อกำหนดทิศทางนโยบายพลังงานและการลงทุนในภูมิภาค

อนาคตของ G20 ในมือเจ้าภาพรายต่อไป

แอฟริกาใต้จะต้องส่งมอบตำแหน่งประธาน G20 ให้สหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอด G20 ประจำปี 2569 ที่เมืองโดรัล รัฐฟลอริดา ขณะที่ทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่า เขาตั้งตารอที่จะนำเสนอ “ความสำเร็จอันน่าทึ่ง” ของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อสายตาชาวโลก

อย่างไรก็ดี การส่งมอบบทบาทเจ้าภาพให้กับสหรัฐฯ ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นักวิเคราะห์แสดงความกังวลว่าทัศนคติของสหรัฐฯ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบบพหุภาคีอาจทำให้โอกาสในการมี G20 ที่สร้างสรรค์และครอบคลุมในอนาคตกำลังลดน้อยลง

ทั้งนี้ การประชุม G20 ที่แอฟริกาใต้จึงเป็นมากกว่าเวทีประจำปี แต่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ที่เปิดโอกาสให้กลุ่ม Global South ซึ่งมีแอฟริกาใต้และจีนเป็นแกนนำ ได้ผลักดันวาระความเท่าเทียมและการปฏิรูประบบโลกอย่างเต็มที่ การขาดหายไปของสหรัฐฯ อาจไม่ได้ทำให้ความร่วมมือระดับโลกหยุดชะงัก หากแต่จะเป็นการพิสูจน์ว่า ความร่วมมือระดับโลกยังคงเดินหน้าต่อไปได้หรือไม่ เมื่อไม่มีการนำจากขั้วอำนาจดั้งเดิม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 พ.ย. 68)