สื่อตปท.เผยคอมเมนท์นายกฯญี่ปุ่นเรื่องไต้หวันส่อแววดับฝันให้ยืมแพนด้าตัวใหม่

คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ซานาเอะ ทาคาอิจิ เกี่ยวกับเหตุฉุกเฉินไต้หวันได้ส่งผลกระทบต่อจีน และทำให้แนวโน้มการส่งแพนด้าตัวใหม่มายังญี่ปุ่นมืดมนลง ขณะที่กำหนดเวลาส่งคืนลูกแพนด้าฝาแฝดที่อยู่ในสวนสัตว์ในโตเกียวในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 กำลังใกล้เข้ามา

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ผู้คนจำนวนมากยังคงมาเยือนสวนสัตว์อุเอโนะ โดยแพนด้ายักษ์ เสี่ยวเสี่ยว และเหลยเหลย ซึ่งเป็นแพนด้าเพียงคู่เดียวในญี่ปุ่นในขณะนี้สามารถดึงดูดความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก

แพนด้าทั้งสองตัวที่เกิดเมื่อปี 2564 และมีกำหนดถูกส่งไปยังจีนภายใต้ข้อตกลงการให้ยืมระหว่างสองประเทศ แฟนคลับแพนด้ารายหนึ่งแสดงความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยกล่าวว่า แพนด้าอาจหายไปจากญี่ปุ่นโดยสิ้นเชิง

พนักงานบริษัทวัย 42 ปีจากจังหวัดเกียวโตที่ได้มาเยี่ยมชมสวนสัตว์ ซึ่งคับคั่งไปด้วยผู้เยี่ยมชมในช่วงสุดสัปดาห์ กล่าวว่า แพนด้าเป็นสัตว์พิเศษที่ปลอบโยนผู้คนเพียงแค่ได้เห็น และเรียกร้องให้แพนด้าอยู่ที่อุเอโนะต่อไป ส่วนลูกสาววัย 5 ขวบของเขากล่าวว่า “หนูจะรู้สึกเศร้าถ้าแพนด้าที่น่ารักหายไป” ขณะที่กำลังถือตุ๊กตาแพนด้า

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แพนด้ายักษ์ทั้งสี่ตัวที่ยืมจากสวนสัตว์ในจังหวัดวาคายามะได้ถูกส่งกลับไปยังจีน เหลือเพียงคู่แพนด้าที่เมืองอุเอโนะ ทั้งนี้วาคายามะและเกียวโตอยู่ในภูมิภาคคันไซ ห่างจากกรุงโตเกียวหลายร้อยกิโลเมตร

เมื่อต้นเดือนนี้ ทาคาอิจิกล่าวว่า เหตุฉุกเฉินกับไต้หวันที่เกี่ยวข้องกับการใช้กำลังทหารของจีนอาจจะเป็นสถานการณ์ที่คุกคามความอยู่รอดสำหรับญี่ปุ่น และอาจทำให้ญี่ปุ่นสามารถใช้สิทธิในการป้องกันตนเองได้

ขณะที่หนังสือพิมพ์จีนรายงานบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียว่า หากสถานการณ์ในปัจจุบันยังคงดำเนินต่อไป ปักกิ่งอาจระงับการให้ยืมแพนด้าตัวใหม่ และอ้างผู้เชี่ยวชาญที่เตือนว่า ญี่ปุ่นอาจสูญเสียการเข้าถึงสัตว์เหล่านี้

ยูกิโนริ โยโคมิ เลขาธิการของสมาคมมิตรภาพญี่ปุ่น-จีน กลุ่มนิติบุคคลเพื่อประโยชน์สาธารณะที่ตั้งอยู่ในโตเกียว กล่าวว่า ตนเองเกรงว่าโครงการแลกเปลี่ยนจะหายไปในที่สุด

“แพนด้าเป็นทูตแห่งสันติภาพระหว่างญี่ปุ่นและจีน ฉันกังวลว่าความพยายามในการดึงให้แพนด้าอยู่ต่อไปอาจประสบกับความล้มเหลวเพราะปัญหาล่าสุด” โยโคมิกล่าว พร้อมแสดงความหวังว่า เรื่องนี้ควรจะได้รับการแก้ไข

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 พ.ย. 68)