“เอกนิติ-วิทัย” สอดประสานนโยบายการเงิน-การคลัง ดันแก้ศก.ไทยเชิงโครงสร้าง หมดเวลากินบุญเก่า

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวในงานปาฐกถาพิเศษ “คู่หูเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤติสู่ความยั่งยืน (Fiscal-Monetary Synergy in Sight” ว่า กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า เกี่ยวกับมาตรการในการสนับสนุนการออมรายบุคคล (Individual Saving Account) ซึ่งเป็นเครื่องมือการออมที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ และยังเป็นการสนับสนุนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ใหญ่ขึ้นด้วย ส่วนรายละเอียด อยู่ระหว่างการเร่งพิจารณา

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ต้องยอมรับความจริงว่า “ไทยกินบุญเก่า” มานาน เนื่องจากที่ผ่านมา ไม่มีการลงทุนใหม่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกกว่า 60-70% เมื่อมีปัญหาเรื่องภาษีสหรัฐฯ เศรษฐกิจไทยจึงมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก ดังนั้นแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาลในช่วง 4 เดือน จึงเน้นไปที่การวางรากฐานการเติบโตให้ได้ในระยะยาว โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจ ผ่านการสนับสนุนการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านอุตสาหกรรม และการลงทุนในคนเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

“เศรษฐกิจไทย ยังมีความน่าสนใจ เพราะต่างชาติยังให้ความสนใจมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เรายังมีโอกาสในการเติบโต อาทิ อุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร แต่ปัจจัยสำคัญที่เรายังขาด คือ ทักษะแรงงาน รัฐบาลจึงเน้นเรื่องนี้ผ่านโครงการ Upskill Reskill เพื่อให้แรงงานไทยสามารถรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้

โดยเตรียมดึงวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท จากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน มาใช้เพื่อจัดโครงการฝึกอบรมทักษะแรงงานระยะสั้น รวมถึงจะมีการออกสินเชื่อเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยปรับตัว และพัฒนาธุรกิจให้ทันสมัย (Business Transformation Loan) ซึ่งจะเป็นการพัฒนา และยกระดับธุรกิจระดับกลางด้วย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเข้มแข็งใหม่อีกครั้ง” นายเอกนิติ กล่าว

รองนายกฯ และรมว.คลัง มองว่านโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง จะต้องสอดประสานกัน เพื่อเดินหน้าในการฟื้นและกระตุ้นเศรษฐกิจไทย โดยยืนยันว่านโยบายการเงิน ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังต้องมีอิสระในเชิงเครื่องมือ แต่ในแง่มุมของเศรษฐกิจในฐานะที่รับผิดชอบนโยบาย ทั้งกระทรวงการคลัง และ ธปท.จะต้องสอดประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในส่วนนโยบายการคลัง ยืนยันจะเดินหน้าอย่างเข้มแข็ง ภายใต้กรอบวินัยการคลังอย่างเข้มข้น

 

ด้าน นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยืนยันว่า ที่ผ่านมา ธปท. และกระทรวงการคลัง ทำงานสอดประสานกันด้วยดีมาตลอด ไม่มีปัญหา ทั้งหมดทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ โดยหลังจากนี้ ธปท. จะมีการปรับบทบาท ไม่ได้ดูเพียงนโยบายการเงิน หรือด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคแต่เพียงอย่างเดียว แต่พร้อมที่จะใช้เครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ ขับเคลื่อนนโยบายการเงิน ควบคู่กับการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเร่งผลักดันมาตรการแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อเข้ามาช่วยในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างด้วย

เนื่องจากมองว่า ธปท. ไม่ได้มีหน้าที่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือกระตุ้นการบริโภคเหมือนรัฐบาล แต่ ธปท. มีหน้าที่ในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ตลอดจนการเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน และสถานการณ์ที่สินเชื่อ SMEs ติดลบ 13 ไตรมาส หรือ 36 เดือน หรือ 3 ปี ซึ่งในส่วนนี้ จะมีการผลักดันกลไกค้ำประกันสินเชื่อ SME ออกมา วงเงินราว 1-1.2 แสนล้านบาท

ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า จากปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจไทยขณะนี้ หากไม่เร่งแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เศรษฐกิจไทยจะเจอปัญหาหนัก โดยเฉพาะในรายย่อย จากการเติบโตของรายได้บุคคลที่โตลดลงต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่าจะขยายตัวไม่ถึง 2% จากก่อนหน้านี้โตเฉลี่ย 4-5% ครัวเรือนมีรายได้น้อยกว่ารายจ่ายต่อเนื่องหลายปี สะท้อนว่าครัวเรือนเหล่านี้จะต้องกู้เงินเพิ่ม ซึ่งสุดท้ายจะวนกลับมาเป็นแรงกดดันของปัญหาหนี้ครัวเรือนในที่สุด

“หนึ่งบริบทที่เปลี่ยนแปลง คือ เราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เศรษฐกิจเหมือนเดิม ที่แม้จะไม่ทำอะไรเลย แต่เศรษฐกิจก็โตได้ 3-4% แต่ตอนนี้จะโต 2% ยังยากเหลือเกิน เพราะเราอยู่บนปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่รุมเร้ามานานและมากมาย โดยเฉพาะปัญหาโครงสร้างประชากรสูงวัย หนี้ครัวเรือน การกระจายรายได้ไม่ทั่วถึง การเมืองไม่นิ่ง และตอนนี้มีแต่คนที่พร้อมจะวิเคราะห์ ไม่มีคนลงมือแก้ไขจริง ธปท. มองเห็นตรงนี้ และอยากจะเข้ามาแก้ไขอย่างจริงจัง” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว

 

  • ยังมี room สำหรับการลดดอกเบี้ยนโยบาย

พร้อมระบุว่า สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับ คือ นโยบายการเงิน เป็นนโยบายที่มีผลในภาพรวมเศรษฐกิจไม่มาก และการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็ถือเป็นเครื่องมือหลักของนโยบายการเงินที่จะมีผลในหมู่กว้างเป็นหลัก ไม่ใช่นโยบายแบบเฉพาะจุด ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ ดังนั้นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแต่ละครั้ง จึงมีผลต่อเศรษฐกิจที่ยังมีปัญหาในเชิงโครงสร้างค่อนข้างจำกัด

ที่ผ่านมา ธปท. ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ไปแล้ว 4 ครั้ง มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 และ 2569 ต่ำกว่า 0.2% เพราะปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้ไม่ได้เกิดมาจากการบริโภค แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างเป็นหลัก ดังนั้นหาก ธปท.จะใช้แค่นโยบายดอกเบี้ยอย่างเดียว ก็จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจน้อยมาก แต่นโยบายเรื่องอัตราดอกเบี้ยก็ยังมีความจำเป็น เพื่อช่วยเรื่องสภาพคล่อง ทำให้คนอยู่ได้ จ่ายหนี้ได้ไม่เป็นหนี้เสีย

ดังนั้นในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในช่วงกลางเดือน ธ.ค.นี้ คงต้องมาดูกันว่า กนง. จะเห็นภาพและข้อมูลของเศรษฐกิจเป็นอย่างไร แต่ทั้งนี้ มองว่าเรื่องการลดดอกเบี้ยนโยบาย ยังมี room พอที่จะทำได้

“ดอกเบี้ยนโนบายมีความจำเป็น เพราะช่วยคนจ่ายหนี้ มีสภาพคล่อง และช่วยธุรกิจได้ ซึ่งเรามี room ที่จะลดดอกเบี้ยได้ แต่ต้องดูข้อมูล (Data) ก่อนจะออกมาอย่างไร ก่อนจะถึงรอบการประชุมครั้งถัดไป ในเดือนธ.ค.นี้ ซึ่งขึ้นกับคณะกรรมการจะตัดสินใจอย่างไร ผมก็เป็น 1 ในคณะกรรมการใน 7 ท่าน” ผู้ว่าการ ธปท. ระบุ

 

  • หมดยุค แบงก์ชาติ “บนหอคอยงาช้าง”

นายวิทัย กล่าวอีกว่า สิ่งที่ ธปท. เร่งดำเนินการเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างแบบเฉพาะจุด คือ การแก้ปัญหาหนี้เสียรายย่อย ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อราย โดยโอนหนี้ไปที่ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) ซึ่งในส่วนนี้ คาดว่าจะช่วยเหลือลูกหนี้ได้ราว 2 ล้านกว่าคน ขณะที่ในช่วงต้นปี 2569 จะเร่งหารือกับนอนแบงก์ เพื่อดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มต่อไป ราว 1 ล้านคน รวมถึงจะมีการเร่งออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

พร้อมยืนยันว่า หลังจากนี้ ธปท. จะเข้ามาทำงานใกล้ชิดกับปัญหา ใกล้ชิดกับสังคม และใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น โดยไม่มีคำว่า “หอคอยงาช้าง” เพราะหวังว่านโยบายการเงิน จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยประชาชน และช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้มากขึ้น ภายใต้ความมีอิสระในการตัดสินใจ ใช้นโยบายการเงินที่จะไม่ใช่อิสระแบบหลุดลอย แต่ต้องมีเป้าหมาย และต้องคำนึงถึงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย

“เราจะออกนโยบายการเงินควบคู่กันไป (กับนโยบายการคลัง) วันนี้เราเสริมมาตรการเป็นจุด ๆ และออกมาตรการซ้ำ ๆ เพื่อแก้ปัญหา โดยเราจะใกล้ชิดปัญหา และประชาชนมากขึ้น ซึ่งเป็น Core Value ของ ธปท.มา 20 ปี คือ ยืนตรง มองไกล ยื่นมือ ติดดิน โดยจะไม่มีคำว่า “หอคอยงาช้าง” อีกแล้ว เราจะทำงานร่วมกับกระทรวงคลัง และสนับสนุนเต็มที” ผู้ว่าการ ธปท. ระบุ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ธ.ค. 68)