Smart Green ถอดรหัส…กฎหมายเพื่อความยั่งยืน: แนวทางการจัดทำบัญชีคาร์บอนของโรงไฟฟ้า

 

อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ แต่ก็เป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases: GHGs) ในระดับสูง เนื่องจากพลังงานไฟฟ้าส่วนใหญ่ยังคงมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และน้ำมันเตา

เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โรงไฟฟ้าจึงจำเป็นต้องมีระบบการติดตามและประเมินผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบ ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า การจัดทำบัญชีคาร์บอนขององค์กร (Corporate Carbon Accounting) หรือ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (CFO) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการวางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว

การกำหนดขอบเขตการประเมิน: สำหรับโรงไฟฟ้าถูกจัดเป็น โรงงานลำดับที่ 88 ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 23 (พ.ศ. 2557) ออกตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ดังนั้น การกำหนด “ขอบเขตองค์กร” หมายถึงพื้นที่หรือสถานที่ซึ่งมีกิจกรรมการผลิตไฟฟ้าเกิดขึ้นภายใต้การควบคุมของผู้ประกอบการ สามารถอ้างอิงได้จากใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานที่ออกโดยกระทรวงอุตสาหกรรม หรือใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงานที่ออกโดยกระทรวงพลังงาน การกำหนดขอบเขตทางภูมิศาสตร์อย่างชัดเจนเป็นขั้นตอนแรกของการจัดทำบัญชีคาร์บอน เนื่องจากจะเป็นพื้นฐานในการรวบรวมข้อมูลกิจกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในโรงไฟฟ้า

*ประเภทของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในโรงไฟฟ้า

Scope 1: การปล่อย GHGs โดยตรง :: คือการปล่อยที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมภายในโรงไฟฟ้าโดยตรง เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้า (Stationary Combustion) การเผาไหม้เชื้อเพลิงในยานพาหนะของโรงไฟฟ้า (Mobile Combustion) และการรั่วไหลของก๊าซในระบบ เช่น SF6 จากอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูง หรือ CO2 จากถังดับเพลิง

เชื้อเพลิงหลักในประเทศไทยคือ ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมักถูกใช้ในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ส่วนเชื้อเพลิงรอง เช่น ดีเซลหรือถ่านหิน ใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือเป็นเชื้อเพลิงสำรอง

Scope 2: การปล่อย GHGs ทางอ้อมจากการใช้พลังงาน :: หมายถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการใช้พลังงานที่โรงไฟฟ้านำเข้าจากภายนอก เช่น การใช้ไฟฟ้าที่ซื้อจากระบบสายส่งเพื่อเดินระบบในช่วงหยุดการผลิต (Shutdown/Blackout)

Scope 3: การปล่อย GHGs ทางอ้อมอื่น ๆ :: ได้แก่กิจกรรมที่อยู่นอกเหนือการควบคุมโดยตรงของโรงไฟฟ้า แต่ยังส่งผลต่อปริมาณการปล่อยก๊าซ เช่น การขนส่งวัตถุดิบและของเสีย, การเดินทางของพนักงาน, การจัดการขยะและน้ำเสีย และการใช้ปุ๋ยเคมีในการดูแลพื้นที่สีเขียวภายในโรงไฟฟ้า

*วิธีการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

1) การเผาไหม้เชื้อเพลิงหลัก : กรณีใช้ ก๊าซธรรมชาติ ให้ใช้วิธี สมดุลมวล (Mass Balance Method) โดยสมมติว่าคาร์บอนทั้งหมดในเชื้อเพลิงถูกเปลี่ยนเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ 100% อ้างอิงตามแนวทางของ American Petroleum Institute (API) Compendium, 2009 ซึ่งให้ค่าความคลาดเคลื่อนน้อยกว่า 10% เมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานของ IPCC

ส่วนเชื้อเพลิงประเภทอื่น เช่น น้ำมันเตา ถ่านหิน หรือน้ำมันปาล์ม สามารถใช้การคำนวณแบบ “กิจกรรมคูณค่าปัจจัยการปล่อย (Activity x Emission Factor)” โดยใช้ค่า Emission Factor ที่ประกาศโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.)

สำหรับน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล ให้แยกการรายงานออกจากการปล่อยรวม เนื่องจากมีลักษณะเป็นพลังงานหมุนเวียน

2) การปล่อยจากกิจกรรมรอง : กิจกรรมที่มีการใช้เชื้อเพลิงในปริมาณน้อย เช่น การเดินเครื่อง เครื่องกำเนิดไฟฟ้าฉุกเฉิน (Emergency Generator) หรือ Fire Pump ให้ใช้ข้อมูลการเดินเครื่องจริงและอัตราการใช้น้ำมันดีเซลเฉลี่ยต่อชั่วโมงในการประเมิน

3) การรั่วไหลของก๊าซ (Fugitive Emission) : ต้องให้ความสำคัญกับการรั่วไหลของ SF6 ซึ่งมีศักยภาพในการกักเก็บความร้อนสูงถึง 22,800 เท่าของ CO2 (ตาม IPCC, 2006) โรงไฟฟ้าควรบันทึกการเปลี่ยนถ่ายหรือเติมก๊าซ SF6 ทุกครั้งและรายงานปริมาณการรั่วไหลประจำปี

4) การปล่อยจากระบบน้ำเสียและของเสีย : ในกรณีที่โรงไฟฟ้ามีระบบบำบัดน้ำเสีย ควรประเมินการปล่อย CH4 และ N2O ตามแนวทาง IPCC 2006 Guidelines แม้ว่าค่าการปล่อยจะต่ำก็ตาม เพื่อให้ผลการประเมินครอบคลุมทุกแหล่ง

การวิเคราะห์สัดส่วนและแนวโน้มการปล่อย: ผลการจัดทำบัญชีคาร์บอนของโรงไฟฟ้าในประเทศไทยส่วนใหญ่พบว่า Scope 1 มีสัดส่วนสูงสุด โดยเฉพาะจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง Scope 2 และ 3 มีปริมาณน้อยกว่าแต่สามารถลดได้ผ่านมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน

โรงไฟฟ้าหลายแห่งเริ่มใช้ข้อมูล CFO เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพเชิงเศรษฐกิจ เช่น การลดค่า Heat Rate (ปริมาณเชื้อเพลิงต่อ kWh) ซึ่งช่วยลดทั้งต้นทุนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกพร้อมกัน

แนวทางเสริมสร้างประสิทธิภาพและข้อควรระวัง เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกควรทำควบคู่กับการพัฒนาระบบตรวจวัดที่เชื่อถือได้, ควรมีการบันทึกข้อมูลกิจกรรมหลัก เช่น ปริมาณเชื้อเพลิง การเดินเครื่อง และการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง และการใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น ระบบดิจิทัลมอนิเตอร์พลังงาน หรือ AI วิเคราะห์ Heat Rate สามารถเพิ่มความแม่นยำในการรายงานและช่วยในการวางแผนลดคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเชื่อมโยงสู่กลยุทธ์และนโยบายระดับชาติ : การจัดทำบัญชีคาร์บอนของโรงไฟฟ้าไม่ได้เป็นเพียงกระบวนการทางเทคนิค แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำของประเทศไทย ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (ด้านการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม), เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality 2050) และเป้าหมายการปล่อยสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission 2065)

โรงไฟฟ้าจึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าว ทั้งในมิติของ เทคโนโลยีสะอาด (Clean Energy Transition) และ กลไกตลาดคาร์บอน (Carbon Market Mechanism) การจัดทำบัญชีคาร์บอนของโรงไฟฟ้าไม่เพียงเป็นการปฏิบัติตามนโยบายสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็น “เครื่องมือบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์” ที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรในยุคเศรษฐกิจสีเขียว โรงไฟฟ้าที่มีระบบติดตามและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างโปร่งใส จะกลายเป็นต้นแบบของการผลิตพลังงานสะอาดและยั่งยืนในประเทศไทย

ดุษดี ดุษฎีพาณิชย์

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการค้า การลงทุน และอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ธ.ค. 68)