
ปัจจุบัน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการผลิตข่าว ไม่เพียงเป็นเครื่องมือสนับสนุน แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์เนื้อหาที่เข้าถึงผู้ชมในวงกว้าง การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดคำถามและความท้าทายใหม่ ๆ ต่อวงการสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นจริยธรรม ความน่าเชื่อถือ และบทบาทของผู้ผลิตข่าว ในยุคที่มนุษย์และ AI ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด
เวทีเสวนา “ข้อเสนอเชิงนโยบายสาธารณะ ในประเด็นเรื่องสื่อและจริยธรรม AI” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน Side-Event “UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ณ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้รวบรวมเสียงจากนักวิชาการ ผู้บริหารสื่อ และผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรมสื่อ เพื่อชวนขบคิดพร้อมหาแนวทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้
AI ช่วยงานข่าวได้ แต่ต้องควบคุมเคร่งครัด
นางสาวชุตินธรา วัฒนกุล บรรณาธิการบริหารข่าวออนไลน์ ไทยพีบีเอส (ThaiPBS) เปิดเผยว่า ไทยพีบีเอสได้นำ AI มาใช้สนับสนุนการผลิตข่าวในหลายมิติ ทั้งด้านเทคโนโลยีและเนื้อหา เช่น การอ่านข่าวด้วยเสียง (Text-to-Speech), ผู้ประกาศข่าวจำลอง (Virtual Reporter) เพื่อขยายกลุ่มผู้ชม รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีหน้าจอแนวตั้ง และการสร้างสตอรีบอร์ดเพื่อเพิ่มไอเดียใหม่ ๆ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของผู้ผลิตสื่อ
อย่างไรก็ตาม ชุตินธราเน้นว่า ไทยพีบีเอสยังอยู่ในช่วงทดลองใช้งานที่ยังมีมนุษย์ควบคุมทุกขั้นตอน เนื่องจาก AI ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดข้อผิดพลาด ยกตัวอย่างเช่นการสร้างกราฟิกที่อาจก่อให้เกิดข้อมูลผิดเพี้ยนได้ หากผู้ใช้ขาดทักษะ
ชุตินธราจึงเสนอว่า AI ควรถูกฝึกด้วยข้อมูลจากสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือเท่านั้น และไม่ควรนำข้อมูลที่สร้างโดย AI มาใช้ฝึกซ้ำ นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้แพลตฟอร์มและนักพัฒนา AI ออกแบบระบบแจ้งเตือนเมื่อพบข้อมูลเท็จหรือดีปเฟก (deepfake) รวมถึงควรมีช่องทางให้ผู้รับสารร้องเรียนเกี่ยวกับเนื้อหาที่ขัดต่อจริยธรรม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อสังคม
ธุรกิจสื่ออยู่รอด รัฐต้องออกกฎหมายควบคุมลิขสิทธิ์
นายนันทสิทธิ์ นิตย์เมธา นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ แสดงความเห็นว่า ธุรกิจสื่อกำลังเร่งปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยี โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะของคนทำข่าวให้สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การผนึกกำลังกับกูเกิล ในการจัดอบรมทักษะเพื่อเสริมความรู้ด้าน AI แม้จะยังมีความท้าทายเรื่องความเชื่อมั่นของผู้อ่านต่อเนื้อหาที่ผลิตโดย AI อยู่บ้าง
นันทสิทธิ์ระบุว่า หนึ่งในปัญหาหลักตอนนี้คือการที่ AI สามารถดึงข้อมูลจากสำนักข่าวไปใช้ฝึกโมเดลโดยที่ผู้ผลิตเนื้อหาไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ ซึ่งยิ่งตอกย้ำวิกฤตรายได้ของธุรกิจสื่อ ท่ามกลางการแข่งขันจากอินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์ที่เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด
นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งผลักดันกฎหมายคุ้มครองลิขสิทธิ์ เพื่อเพิ่มคุณค่าในออริจินอลคอนเทนต์ ป้องกันการนำไปใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต และวางกรอบการซื้อขายข้อมูลอย่างเป็นธรรม นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้มีการเจรจาเรื่องการจัดสรรรายได้ร่วมกับแพลตฟอร์ม เพื่อให้ธุรกิจสื่อยังคงยืนหยัดอยู่ได้ในระยะยาว
คนข่าวยุค AI ต้องปรับตัว แต่ไม่ทิ้งจริยธรรมวิชาชีพ
ในมุมมองของนายจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย คนข่าวยุคใหม่จำเป็นต้องมีทั้งความรู้ ความสามารถ และความพร้อมในการปรับตัว หากต้องการยืนหยัดอยู่ในวิชาชีพ เพราะ AI คือระลอกใหม่ที่ต่อเนื่องจากผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งบีบให้คนข่าวคุณภาพจำนวนมากหลุดออกจากวงการ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถปรับตัวหรือไม่ยอมใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
จีรพงษ์แสดงความกังวลในเรื่องคุณภาพและจริยธรรมของนักข่าวรุ่นใหม่ที่อาศัยข้อมูลจาก AI โดยไม่ผ่านการตรวจสอบหรือกลั่นกรองใด ๆ ตลอดจนใช้ AI แทนแหล่งข้อมูลจริง หรือใช้พรอมต์ (prompt) แทนการค้นหาแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ซึ่งส่งผลกระทบต่อมาตรฐานวิชาชีพอย่างมากและกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง
จีรพงษ์จึงแนะว่า นักข่าวยุค AI ต้องทำหน้าที่เป็นผู้คัดกรองข่าวสารก่อนนำเสนอ พร้อมยึดมั่นในวิถีของนักข่าวที่แท้จริง คือการรอความจริง ไม่รีบร้อน และตรวจสอบแหล่งข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนเผยแพร่ข้อมูล พร้อมทั้งหมั่นอัปเกรดทักษะอยู่เสมอ และย้ำว่าอย่าไว้ใจ AI เกินไป ต้องใช้สติและจริยธรรมควบคู่กัน หากยังรักษาคุณภาพและความรับผิดชอบของวิชาชีพไว้ได้ นักข่าวก็จะสามารถยืนหยัดอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง
ผู้อ่านไทยยังขาดทักษะรู้เท่าทัน AI
นายระวี ตะวันธรงค์ กรรมการจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ชี้ว่าหนึ่งในความท้าทายสำคัญของสังคมไทยคือผู้บริโภคข่าวสารยังขาดทักษะในการรู้เท่าทันเทคโนโลยี AI โดยอ้างอิงผลสำรวจจากต่างประเทศที่พบว่า 38% ของผู้อ่านชาวไทยรู้สึกสบายใจกับข่าวที่ผลิตโดย AI อีกทั้งยังมีแนวโน้มเชื่อข่าวโดยไม่คำนึงถึงแหล่งที่มา แม้จะมาจากเพียงอินฟลูเอนเซอร์หรือใครก็ตาม
ระวีมองว่า ปรากฏการณ์นี้สะท้อนช่องว่างด้านความฉลาดทางดิจิทัลและการคิดเชิงวิพากษ์ของผู้รับสารไทย ที่ยังไม่สามารถแยกแยะหรือประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้ดีพอ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีหรือผู้ผลิตข่าวเพียงอย่างเดียว หากแต่โยงถึงระบบการศึกษาที่ทำให้ผู้รับสารจำนวนมากขาดการไตร่ตรองก่อนเชื่อ
สำหรับแนวทางการแก้ไข ระวีเสนอว่ารัฐควรออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังเพื่อป้องกันผู้รับสาร รวมถึงร่วมมือกับองค์กรสื่อไทยเพื่อเจรจากับแพลตฟอร์มเรื่องภาษีและส่วนแบ่งรายได้ เหมือนที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เคยดำเนินการ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ผลิตข่าวด้วย
3 คำถามท้าทายสื่อยุค AI
ปิดท้ายด้วยรศ.ดร.อลงกรณ์ ปริวุฒิพงศ์ รองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งชวนตั้งคำถามพื้นฐาน 3 ประเด็นเพื่อกลับมาทบทวนอุตสาหกรรมสื่อในยุค AI
ประการแรก ในยุคที่ AI สามารถสร้างเนื้อหาได้แทบทุกประเภท เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือข้อเท็จจริง เพราะปัจจุบันชุดความจริงที่ปรากฏผ่านสื่อไม่ได้จำกัดอยู่แค่กระบวนการผลิตข่าวแบบดั้งเดิม แต่ยังรวมถึงเนื้อหาที่มาจากอินฟลูเอนเซอร์หรือผู้ใช้สื่อโซเชียลทั่วไป ซึ่งอาจขาดกลไกการตรวจสอบแบบสื่อเดิม
ประการที่สอง คือ กระบวนการผลิตข่าว ในฐานะนักข่าว เราต้องรู้ว่าแหล่งข้อมูลมาจากใคร และมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน ต้องคอยตรวจสอบความถูกต้อง ไม่เน้นแต่ความเร็วอย่างเดียว
ประการสุดท้าย คือ การทำความเข้าใจว่าใครคือผู้ชม ผู้อ่าน ผู้รับฟัง และผู้ใช้สื่อในยุคปัจจุบัน เพื่อนำเสนอเนื้อหาสอดคล้องกับความต้องการและสร้างความน่าเชื่อถือได้
รศ.ดร.อลงกรณ์เสนอว่า สื่อมวลชนควรกลับมายึดหลัก ABCD ได้แก่ Accuracy หรือความแม่นยำที่เน้นแหล่งข่าวน่าเชื่อถือและความถูกต้องเหนือความรวดเร็ว, Balance คือการให้ทุกฝ่ายได้รับพื้นที่ข่าวอย่างเท่าเทียมและข้อมูลมีความสมดุล, Clarity คือการระบุแหล่งข่าวและเปิดเผยจุดยืนอย่างชัดเจน และ Digital Literacy หรือความรู้เท่าทันสื่อ เพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของข่าวและช่วยให้ประชาชนประเมินข้อมูลได้อย่างรอบด้านในยุคที่ข้อมูลไหลล้นจากหลายทิศทาง
กล่าวโดยสรุป AI เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของวงการสื่อไทย ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการกำกับดูแลการใช้ AI อย่างรัดกุม การที่นักข่าวต้องยึดมั่นในจริยธรรมวิชาชีพ และการสร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลให้แก่ผู้รับสาร เพื่อรักษาแก่นแท้ของการนำเสนอ ข้อเท็จจริงให้ยังคงอยู่ท่ามกลางกระแสข้อมูลที่ไร้ขอบเขต
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 มิ.ย. 68)