
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะรองประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ชี้แจงกรณีข้อห่วงใยของฝ่ายค้านต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายฯ ปี 69 นั้น ขอยืนยันว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายฯ เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และความจำเป็นของภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ ตลอดจนคำนึงถึงฐานะการคลัง และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อประเทศชาติ และประชาชน
ซึ่งได้มีการเสนอให้รัฐบาลพิจารณาการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ปี 69 ซึ่งอยู่ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ อันอาจส่งผลกระทบต่องบประมาณทั้งด้านรายได้และรายจ่าย รวมทั้งการเตรียมงบประมาณเพื่อรองรับการกีดกันทางการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก และการบริหารจัดการหนี้สาธารณะให้ลดลงในระยะยาว เพื่อให้มีพื้นที่การคลังไว้ใช้ในยามที่เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพการคลังในอนาคต ตลอดจนการสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตรองรับผลกระทบทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศได้อย่างมีเสถียรภาพ
นายจุลพันธ์ ยอมรับว่า กรรมาธิการเสียงข้างมาก ไม่ปฏิเสธถึงความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยจากสถานการณ์โลก ไม่ว่าจะเป็นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งความเสี่ยงต่าง ๆ เหล่านี้รัฐบาลทราบดีและไม่ปฏิเสธความเป็นจริงถึงความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ตามที่ฝ่ายค้านได้อภิปรายถึงข้อห่วงใยต่อ GDP ปีนี้ที่อาจกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐนั้น ขอยืนยันว่า กระทรวงการคลังมีศักยภาพเพียงพอที่จะบริหารจัดการการจัดเก็บรายได้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และไม่กระทบกับการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายงบประมาณในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีกลไกด้านงบประมาณเข้ามารองรับอย่างเพียงพอ ทั้งด้านการบริหารจัดการโดยตัวของงบประมาณเอง เงินคงคลัง และกลไกที่มีอยู่ตามกฎหมายที่สามารถจะดำเนินการได้ โดยเชื่อว่าจะสามารถบริหารจัดการงบประมาณตามที่ตั้งไว้ตามจำนวนที่กำหนดไว้ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายฯ ปี 69 ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
“เรื่องปัญหาการจัดเก็บรายได้ แม้ขณะนี้จะมีผลกระทบอยู่บ้าง แต่เราเชื่อว่า จะสามารถบริหารจัดการให้ลุล่วงไปได้ ไม่มีผลกระทบใด ๆ” รมช.คลัง ระบุ
ส่วนอีกกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ งบประมาณจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นกลไกหลักอย่างการใช้จ่ายของภาครัฐ ประกอบกับการลงทุนภาครัฐ และการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งการจะสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนผ่านงบประมาณแผ่นดินถือว่ามีความจำเป็น ดังนั้นการใช้จ่ายของภาครัฐ จึงมีส่วนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต
“หากมีการปรับลดการใช้จ่ายของภาครัฐ จากงบประมาณโดยยอดรวมนั้น กลับจะเป็นผลร้ายกับระบบเศรษฐกิจ เพราะจะสะท้อนถึงความไม่มั่นใจในภาคเอกชน ในด้านการลงทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาวต่อไปได้ โดยยืนยันว่า กลไกการดำเนินงบประมาณรายจ่ายจากเม็ดเงินที่ตั้งไว้นี้ เป็นสิ่งสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโต” นายจุลพันธ์ ระบุ
ส่วนข้อกังวลของฝ่ายค้านว่าจะมีกระสุนเพียงพอรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือไม่นั้น รมช.คลัง ยืนยันว่า กลไกด้านงบประมาณมีกระสุนเพียงพอ เช่น เงินคงคลังในระดับสูง, เงินทดรองอีก 50,000 ล้านบาทที่สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้, การจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณการโอนเปลี่ยนแปลงการแก้ไขงบประมาณ ซึ่งสุดท้ายแล้วต้องเป็นอำนาจของสภาฯ
“ทั้งหมดนี้ ขอยืนยันว่าด้วยกระสุนทั้งหมด ด้วยกลไกทั้งหมดที่มีนั้น มีมากเพียงพอที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาของประเทศ และขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโต” นายจุลพันธ์ ระบุ
ส่วนการเพิ่มพื้นที่การคลัง ซึ่งมีข้อห่วงใยจากฝ่ายค้านนั้น นายจุลพันธ์ ระบุว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวน เช่น โควิด-19 ภาครัฐมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณแบบขาดดุล และก่อหนี้เพิ่มเติมเพื่อรองรับภาระการใช้จ่าย และการลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งการกู้เงินมาใช้เพื่อการลงทุนที่มีประสิทธิภาพจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตได้ในระยะยาว ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถชำระหนี้ได้มากขึ้นอย่างมีศักยภาพ อันจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลง โดยภาครัฐมีแนวทางเสริมเศรษฐกิจภาคการคลัง เช่น การปรับปรุงระบบภาษีให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม, การส่งเสริมการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน, การบริหารทรัพย์สินของรัฐให้เกิดรายได้, การลดรายจ่ายผ่านการจัดลำดับความสำคัญ, การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่าย และการบริหารหนี้สาธารณะในระยะยาวอย่างเป็นระบบ โดยในปีงบ 69 มีการลดลงของรายจ่ายประจำอย่างมีนัยสำคัญถึง 25,794 ล้านบาท คิดเป็น 1% ของงบประมาณรายจ่ายปี 69
รมช.คลัง กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายแบบขาดดุลเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และมีเสถียรภาพ โดยยืนยันการรักษาวินัยการเงินการคลังให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 อย่างเคร่งครัด โดยได้วางแผนการคลังระยะปานกลาง สำหรับปี 2569-2572 ลดการขาดดุลการคลังให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยมีวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล ดังนี้
– ปี 2569 ขาดดุล 860,000 ล้านบาท คิดเป็น 4.3% ต่อ GDP
– ปี 2570 ขาดดุล 758,600 ล้านบาท คิดเป็น 3.6% ต่อ GDP
– ปี 2571 ขาดดุล 721,900 ล้านบาท คิดเป็น 3.3% ต่อ GDP
– ปี 2572 ขาดดุล 703,300 ล้านบาท คิดเป็น 3.1% ต่อ GDP
“ตัวเลขดังกล่าว สะท้อนว่ารัฐบาลมีความจริงใจและตั้งใจลดระดับการขาดดุลอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่งประมาณสมดุลในระยะยาว ซึ่งหากเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้เต็มศักยภาพ ก็จะเอื้อต่อการเสริมฐานะทางการคลัง ทั้งด้านรายได้ รายจ่าย การบริหารหนี้สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายงบประมาณสมดุลในอนาคต” นายจุลพันธ์ ระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ส.ค. 68)