
หอการค้าสหภาพยุโรปประจำประเทศจีนเปิดเผยเมื่อวันอังคาร (16 ก.ย.) ว่า บริษัทยุโรปจำนวนมากเผชิญปัญหาขาดทุนและมีแนวโน้มว่าจะต้องปิดกิจการเพิ่มเติม เนื่องจากจีนยังคงเข้มงวดในการควบคุมการส่งออกแร่หายาก (rare earth) แม้จะมีข้อตกลงในเดือนก.ค. ที่ระบุว่าจะเร่งรัดการส่งมอบไปยังสหภาพยุโรป (EU) ก็ตาม
ผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปและประเทศอื่น ๆ ต้องเผชิญความล่าช้าในการผลิตและการปิดโรงงาน หลังจีนบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากบางชนิดและแม่เหล็ก ซึ่งเป็นผลมาจากการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่วนบรรดาผู้ผลิตชิปก็ได้ยื่นคำร้องต่อจีนเพื่อขอให้ผ่อนปรนการส่งออก
จีนถือเป็นผู้สกัดและแปรรูปแร่หายากรายใหญ่ของโลก โดยแร่เหล่านี้จำเป็นต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ และภาคส่วนอื่น ๆ จีนชี้แจงว่ามาตรการควบคุมการส่งออกนั้นไม่มีการเลือกปฏิบัติและไม่ได้มุ่งเป้าโจมตีประเทศใดเป็นพิเศษ
ระหว่างการประชุมสุดยอด EU-จีน เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีอัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) และ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนเข้าร่วมนั้น จีนตกลงที่จะเร่งรัดการอนุมัติใบอนุญาตส่งออกวัตถุดิบสำคัญให้แก่บริษัทยุโรป แต่ไม่ได้เป็นไปตามข้อเรียกร้องของ EU ที่ต้องการให้ขยายอายุใบอนุญาตหรือยกเลิกข้อจำกัดสำหรับการส่งออกไปยัง EU
อย่างไรก็ตาม เพียงสองเดือนหลังการประชุม การอนุมัติใบอนุญาตส่งออกกลับชะลอตัวลง โดยหอการค้าฯ ระบุว่าได้รับข้อร้องเรียนและคำขอความช่วยเหลือจากสมาชิกมากขึ้น และย้ำว่ายังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่การประชุมสุดยอดดังกล่าว
ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรจีนแสดงให้เห็นว่า การส่งออกแม่เหล็กแร่หายาก ซึ่งรวมถึงที่ส่งออกไปยังยุโรปนั้น เพิ่มสูงขึ้นนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. หลังจากบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ และ EU อย่างไรก็ตาม หอการค้าฯ เปิดเผยว่า จากการยื่นขอใบอนุญาตส่งออกประมาณ 140 รายการที่เกี่ยวข้องนั้น มีไม่ถึง 1 ใน 4 ที่ได้รับการอนุมัติจากทางการจีน ขณะที่บางบริษัทต้องยื่นแบบฟอร์มล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรง
หอการค้าฯ ระบุด้วยว่า ขณะนี้มีสมาชิกหลายรายที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาคอขวดดังกล่าว และคาดว่าจะมีบริษัทจำนวนมากขึ้นที่ต้องหยุดกิจการ หากสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ก.ย. 68)