
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนส.ค.68 อยู่ที่ระดับ 86.4 ปรับตัวลดลงจากระดับ 86.6 ในเดือนก.ค.68 ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมือง จากผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดสถานะความเป็นนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเบิกจ่ายงบลงทุนในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 68 ที่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย, ความไม่ชัดเจนของอัตราภาษีสหรัฐฯ ในประเด็น Regional Value Content (RVC) และรายการสินค้าที่จะเปิดตลาดให้สหรัฐ, ผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ปัญหาขาดแคลนแรงงานในระยะสั้น หลังจากแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศ และเงินบาทแข็งค่า
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือน ส.ค. ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยค่าดัชนีอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นเดือนที่ 37 เนื่องจากมีหลายปัจจัยลบมารุมเร้า
“สาเหตุที่ดัชนีฯ ลดลงเนื่องจากช่วงที่มีการสำรวจยังไม่มีความแน่นอนในเนื่องทางการเมือง” นายนาวา กล่าว
ขณะที่ยังพอมีปัจจัยบวก ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.50%, การอนุมัติงบประตุ้นเศรฐกิจ 18,500 ล้านบาท และยอดขายรถยนต์ในประเทศ มีแนวโน้มขยายตัว
สำหรับแนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ก.ย.68 น่าจะดีขึ้นหลังเห็นโฉมหน้ารัฐบาลแล้ว และการที่รัฐบาลมีอายุ ครม.สั้น โดยจะทำงานจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่อย่างน้อย 8 เดือน และมีความตั้งใจที่จะทำงานอย่างเข้มแข็งเต็มที่
“ด้วยเวลาและงบประมาณจำกัด เชื่อว่านายกรัฐมนตรีเลือกคนที่มีฝีมือ และไว้วางใจเข้ามาช่วยทำงาน และเท่าที่เห็นมีการทำงานแบบเสือปืนไว” นายนาวา กล่าว
ส่วนดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยมาอยู่ที่ระดับ 88.9 ทั้งนี้ค่าดัชนีฯ ยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 สะท้อนว่าว่าความเชื่อมี่นของผู้ประกอบการอยู่ในระดับที่ไม่ดี โดยผู้ประกอบการมีความกังวลต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่, อุปสงค์จากประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ดี มองว่าโครงการ “คนละครึ่ง” ที่รัฐบาลชุดใหม่จะนำกลับมาอีกครั้ง จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ กระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน และเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้
- ขอให้เร่งติดตามข้อสรุปเกี่ยวกับเงื่อนไขภาษี Reciprocal Tariff โดยเฉพาะประเด็น Regional Value Content (RVC) รวมถึงรายการสินค้าที่ไทยจะเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบ
- ขอให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณด้านรายจ่ายลงทุน ในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อให้เม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมดำเนินโครงการภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569
- เสนอให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างเป็นรูปธรรม เช่น ให้นำรายจ่ายค่าขนส่ง และโลจิสติกส์ส่วนเพิ่ม มาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 2 เท่า เป็นต้น
- ขอให้ภาครัฐปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อสนับสนุนการนำวัสดุที่เหลือใช้ และผลิตภัณฑ์พลอยได้ ไปใช้เป็นประโยชน์ในการทำผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่ม ตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เช่น เศษอลูมิเนียม ขี้เถ้าแกลบ แม่พิมพ์เซรามิกใช้แล้ว เป็นต้น
สำหรับข้อเสนอของส.อ.ท.ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมในระยะเร่งด่วน อาทิ การปรับลดต้นทุนค่าไฟฟ้าอีก 4 สต.นั้น เป็นเรื่องดีที่มีการเริ่มต้น แต่หวังให้มีการพิจารณาปรับลดลงมากกว่านี้ โดยลดลงมากที่สุดแต่ไม่ส่งผลกระทบเรื่องความมั่นคง และมีการศึกษาเรื่องเชื้อเพลิงไบโอดีเซล ส่วนปัญหาเงินบาทแข็งค่าส่งผลให้เสียเปรียบในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่เมื่อรัฐบาลรับปากที่จะดูแล และมีการเปลี่ยนตัวผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ได้มีการประสานการทำงานล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นทิศทางน่าจะดีขึ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ก.ย. 68)