
นายพิริยพล คงวาณิช นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนเพื่อบริหารความมั่งคั่ง บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมาก่อนหน้านี้ หลังมาตรการภาษี “ทรัมป์” ชัดเจนขึ้น และความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ แม้ระยะสั้นอาจปรับฐานจากแรงกดดันทั้งปัจจัยภายนอก-ใน แต่มองเป็นโอกาสสะสมกลุ่มผู้นำการเติบโตปีหน้า ขณะที่ระยะสั้นมาตรการภาษี “ทรัมป์” คาดเริ่มเห็นกระทบการส่งออกไทยชัดเจนขึ้นในไตรมาส 4/68 และอาจกดดันต่อในครึ่งแรกปี 69
ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ “ติดลบ” หรือ การเลิกจ้างงาน อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญตลาดหุ้นโลก-ไทย แม้ช่วงก่อนหน้านี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอกลายเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้น จากความคาดหวังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ยฯ (bad news is good news) แต่ในอดีต ตัวเลขการจ้างงาน “ติดลบ” มักจะเป็นจุดเริ่มต้นให้นักลงทุนเริ่มกังวลตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าของการปรับฐานของตลาดหุ้นได้ (bad news is bad news) ล่าสุดเริ่มเห็นการปรับตัวเลขจ้างงานฯ สหรัฐฯ ย้อนหลังลงสู่ระดับ “ติดลบ” ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่มองเป็นเพียงการชะลอตามวัฏจักรเศรษฐกิจ “ไม่ใช่” วิกฤติการเงิน
ขณะที่ตัวเลขกำไรบริษัทฯ ไทยยังอ่อนแอ ประมาณการณ์กำไรหุ้นไทยยังโดนปรับลงต่อเนื่อง นำโดยกลุ่มเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก ทั้งปิโตรฯ พลังงาน อาจจำกัด upside ระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม มองการปรับฐานเป็นจังหวะสะสม เพราะคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะทำจุดต่ำสุดในไตรมาส 4 และเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปลายปี 68 ต่อเนื่องไปถึงปี 69 ขณะที่มาตรการกระตุ้นจากภาครัฐฯ จะยังช่วยพยุงได้ระยะสั้น โดยโครงการคนละครึ่งที่คาดว่าจะเริ่มในเดือน ต.ค.68 วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท และถ้าใช้งบกลางฯ เม็ดเงินอาจขยายได้สูงสุดถึง 7.3 หมื่นล้านบาท และอาจมีโครงการอื่น เช่น Easy e-receipt เที่ยวไทยคนละครึ่ง เพิ่มเติมหนุนในช่วงไฮซีซันของท่องเที่ยวไทยไตรมาส 4/68
สำหรับดอกเบี้ยขาลงจะช่วยหนุนตลาดหุ้น โดยเฟดคาดลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปี 68 จากระดับ 4.25% สู่ 3.75% และลดต่อเนื่องอีก 1 ครั้งในเดือน ม.ค.69 เหลือ 3.5% ส่วนคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ 1.25% ในปี 68 และ 1.0% ในปี 69 การลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะดาต้าเซ็นเตอร์จะเป็นอีกแรงหนุนตั้งแต่ต้นปีหน้า
บล.บัวหลวง มอง SET target ปีหน้าที่ระดับ 1,440 จุด กำไรปี 69 SET คาดโต 10% เทียบปีนี้ที่ราว 7% โดยใช้ PERที่ 16.0 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีราว 0.25SD
โอกาส 1 เก็งกำไรระยะสั้น-เน้นผู้ได้ประโยชน์สูงสุดมาตรการกระตุ้นภาครัฐฯ
หุ้นแนะนำ: CPAXT, ICHI, CENTEL, COM7, CPALL
กลุ่มที่ได้รับประโยชน์สูงสุด/แนวโน้มกำไรที่ดีกว่าทั้งไตรมาส 3-4 และปีหน้า ได้แก่ กลุ่มค้าส่ง เครื่องดื่มพร้อมดื่ม โรงแรม และค้าปลีกสินค้าIT ขณะที่ กลุ่มที่ได้ผลประโยชน์ค่อนข้างน้อย ตัวเลขกำไรยังอ่อนแอ ได้แก่ กลุ่มสายการบิน
โอกาส 2 ขายในช่วงกำไรพีค-กลุ่มนิคมฯ
กำไรกลุ่มคาดว่าจะทำจุดสูงสุดในปี 68 ได้แรงหนุนจากรายได้การโอนที่ดินและอัตรากำไรที่สูง ก่อนคาดชะลอในปี 69 ยอดจองที่ดินล่วงหน้า (Pre-sales)เชื่อว่าผ่านจุดพีคไปแล้วใน 1H68 สอดคล้องกับตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน (BOI applications)ที่เร่งตัวแรงในช่วงไตรมาส 3/67 – ครึ่งแรกปี 68 เนื่องจากนักลงทุนต้องการเร่งจองสิทธิประโยชน์ก่อนความเสี่ยงมาตรการภาษีทรัมป์อาจทำให้เงื่อนไขเข้มงวดขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าPre-salesและการโอนที่ดินจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในปี 69
โอกาส 3 สะสมกลุ่มผู้นำการเติบโตปีหน้าธีมดาต้าเซ็นเตอร์-กลุ่มโรงไฟฟ้า/น้ำ
หุ้นแนะนำ: WHAUP, GULF, trading GUNKUL
ความต้องการใช้ไฟฟ้าและน้ำจากดาต้าเซ็นเตอร์คาดว่าจะเร่งตัวในปี 69 หลังการอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุน (BOI)สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ไตรมาส 4/67 คาดจะเห็นเม็ดเงินลงทุนจริงในปี 69 รวมถึงหนุนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม ทั้งโรงไฟฟ้าและระบบส่งไฟฟ้าเป็นบวกต่อกลุ่มผู้ก่อสร้างโครงข่ายไฟฟ้า
โอกาส 4 สะสม “เมื่ออ่อนตัว” รับการฟื้นรอบใหม่ – นโยบายAnti-involutionหนุนเพิ่ม
หุ้นแนะนำ: PTTGC, SCC
กลุ่มปิโตรฯ มองเป็น Global playที่risk-reward สูงสุดประเมินความเสี่ยงต่ำ-ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีหลักอย่าง HDPE, PPและPET ยังคงต่ำกว่า จุดคุ้มทุน ทำให้ลดความเสี่ยงการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ นโยบาย “Anti-involution ของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ยังมีเป้าหมายจำกัดปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน ช่วยจำกัดความเสี่ยงด้านอุปทานส่วนเกินเพิ่มเติม กลุ่มปิโตรเคมีที่มีPBVเพียง~0.6 เท่า ใกล้ระดับต่ำสุดในวิกฤติปี 51 คาดเข้าสู่การฟื้นรอบใหม่ตั้งแต่ปลายไตรมาส 4/68 ต่อเนื่องในปี 69
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ก.ย. 68)