
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการคนละครึ่ง พลัส ในวงเงินงบประมาณ 44,000 ล้านบาท สำหรับกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน เพื่อสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
โดยจะมีความแตกต่างจากโครงการเดิม ได้แก่
- พลัสที่ 1 เพิ่มช่วงอายุ ตั้งแต่ 16 ปี สามารถเข้าร่วมโครงการได้
- พลัสที่ 2 เพิ่มวงเงินใช้จ่าย จาก 150 บาท/วัน เป็น 200 บาท/วัน
- พลัสที่ 3 เพิ่มสิทธิพิเศษ ให้ผู้ที่อยู่ในระบบภาษีได้ 2,400 บาท ส่วนประชาชนทั่วไปได้รับสิทธิ 2,000 บาท/คน
- พลัสที่ 4 เพิ่มโอกาส ให้ร้านค้าขนาดเล็ก นิติบุคคล ไมโครเอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชนเข้าร่วมได้
- พลัสที่ 5 เพิ่มทักษะ ให้ร้านค้า Upskill/Reskill ในระยะต่อไป
เงื่อนไขโครงการ
- เปิดรับลงทะเบียนร้านค้าตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.-19 ธ.ค.68
- เปิดรับลงทะเบียนประชาชน ตั้งแต่วันที่ 20-26 ต.ค.68
- ประชาชนผู้ได้รับสิทธิสามารถใช้สิทธิโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.-31 ธ.ค.68
โดยสามารถซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ สำหรับการซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วม โครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” สามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.-31 ธ.ค. 68 (เวลา 06.00-21.00 น.)
ช่องทางการลงทะเบียน
- ลงทะเบียนรับสิทธิผ่านแอปฯ เป๋าตัง
อย่าลืม! สมัครและเปิดใช้งาน G Wallet ก่อนใช้สิทธิ
คุณสมบัติ
1) เป็นผู้มีสัญชาติไทย
2) มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
3) มีบัตรประจำตัวประชาชน
4) ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 1 ต.ค. 68
5) ไม่เป็นผู้ที่ถูก สศค. ระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1-5
เงื่อนไขการใช้สิทธิ
- ต้องใช้สิทธิครั้งแรก ภายใร 11 พ.ย. 68 ก่อนเวลา 23.00 น. เพื่อไม่ให้สิทธิถูกยกเลิกตามเงื่อนไขโครงการ
- ใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง พลัส ณ ร้านค้าที่ร่วมโครงการได้ตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 น. ของทุกวัน โดยชำระเงินผ่าน G Wallet
การใช้จ่าย
ประชาชนกลุ่มเป้าหมายสามารถใช้สิทธิในโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อซื้ออาหารเครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ หรือซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ โดยรับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ซึ่งกระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางจะดำเนินการโอนเงินในส่วนที่ภาครัฐร่วมจ่ายให้แก่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ภายในระยะเวลาที่กำหนดต่อไป
นายเอกนิติ กล่าวว่า การดำเนินโครงการฯ จะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนประมาณ 88,000 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.22% ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพให้ประชาชน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและทั่วถึง และที่สำคัญคือ มุ่งหวังให้เศรษฐกิจไทยกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
อนึ่ง ครม. ยังได้มีมติเห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับสิทธิตามโครงการฯ ที่ประชาชนได้รับ และสำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ และยืนยันว่า ข้อมูลโครงการฯ ไม่ได้มีการเชื่อมต่อระบบกับกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบรายได้แต่อย่างใด โดยผู้ประกอบการไม่ว่าจะเข้าร่วมโครงการฯ หรือไม่ก็ตาม เมื่อมีเงินได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดหรือมีรายได้ ย่อมต้องมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล แล้วแต่กรณี และหากคำนวณภาษีแล้วมีเงินได้สุทธิหรือกำไรสุทธิไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษี ผู้ประกอบการก็จะไม่มีภาระภาษีที่จะต้องชำระแต่อย่างใด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ต.ค. 68)