HSBC ทุ่ม 1.36 หมื่นล้านดอลล์ เสนอแผนเพิกถอนหุ้น Hang Seng Bank ออกจากตลาด

ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) เปิดเผยในวันนี้ (9 ต.ค.) ถึงแผนการเพิกถอนหุ้นธนาคารฮั่งเส็ง (Hang Seng Bank) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ผ่านข้อตกลงมูลค่า 1.06 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกง (1.36 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) หลังจากผลการดำเนินงานและความเสี่ยงจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังซบเซาทั้งในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ของธนาคารฮั่งเส็งถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด

HSBC จะเสนอซื้อหุ้นในส่วนที่ยังไม่ได้ถือครองอยู่ 36.5% ในราคาหุ้นละ 155 ดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งจะทำให้ธนาคารฮั่งเส็งมีมูลค่าตามราคาตลาดรวมอยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ประกาศดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นของธนาคารฮั่งเส็งทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 168 ดอลลาร์ฮ่องกงในช่วงเปิดการซื้อขาย ก่อนจะย่อตัวลงมาอยู่ที่ 150.3 ดอลลาร์ฮ่องกงในช่วงเที่ยง ซึ่งแม้ปรับตัวขึ้นถึง 26.3% แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าราคาเสนอซื้อ

ในทางกลับกัน ราคาหุ้นของ HSBC ที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง ร่วงลง 6.2% มาอยู่ที่ 103.7 ดอลลาร์ฮ่องกงในช่วงปิดตลาดภาคเช้า ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่สวนทางกับดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) ที่ลดลงเพียง 0.15%

HSBC ระบุว่า ราคาเสนอซื้อดังกล่าวสูงกว่าราคาปิดของหุ้นธนาคารฮั่งเส็งเมื่อวันพุธ (8 ต.ค.) ที่ 119 ดอลลาร์ฮ่องกง คิดเป็นส่วนเพิ่ม (Premium) ถึง 30.3%

ไมเคิล มักแดด นักวิเคราะห์หุ้นอาวุโสจากมอร์นิงสตาร์ (Morningstar) ระบุว่า ธุรกรรมครั้งนี้นับเป็นการเข้าซื้อกิจการธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดในฮ่องกงในรอบกว่าทศวรรษ นับตั้งแต่ธนาคาร OCBC เข้าซื้อกิจการธนาคารเหวงฮั้ง (Wing Hang Bank) ในปี 2557 ด้วยมูลค่า 5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ความเคลื่อนไหวนี้สวนทางกับกลยุทธ์ก่อนหน้าของ HSBC ที่ทยอยถอนการลงทุนออกจากตลาดหลายแห่ง ภายหลังจากที่จอร์จส เอลเฮเดอรี เข้ารับตำแหน่งซีอีโอของ HSBC เมื่อปีที่แล้ว และริเริ่มการปรับโครงสร้างองค์กรทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้ธนาคารต้องขายหรือยุติการดำเนินงานในยุโรป อเมริกาเหนือ และบางตลาดในเอเชียแปซิฟิก

อย่างไรก็ตาม หลังการปรับโครงสร้าง ฮ่องกงได้ถูกจัดให้เป็นหน่วยธุรกิจหลักที่ดำเนินงานอย่างอิสระ ควบคู่ไปกับอีก 3 หน่วยงานสำคัญ

เอลเฮเดอรีเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า คาดว่าจะมีการ “ปรับปรุงประสิทธิภาพและลดความซับซ้อนของโครงสร้าง” เพิ่มเติมที่ธนาคารฮั่งเส็ง และทั้งสองธนาคารจะทำงานร่วมกันเพื่อผสานแนวทางการดำเนินงานในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเครือข่ายระหว่างประเทศ

HSBC จะระงับโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นระยะเวลาประมาณ 3 ไตรมาส เพื่อสะสมเงินทุนสำหรับการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้

ด้านธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) แถลงว่าได้รับทราบและมีการหารือกับทั้งสองธนาคารเกี่ยวกับข้อเสนอดังกล่าว และจะติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด “เราได้รับทราบเหตุผลที่ HSBC Holdings ชี้แจงว่าธุรกรรมครั้งนี้คือการลงทุนครั้งสำคัญในฮ่องกง” HKMA ระบุ

มักแดด จากมอร์นิงสตาร์ กล่าวเสริมว่า ความเคลื่อนไหวนี้ “เป็นทิศทางที่ดีและควรเกิดขึ้นมานานแล้ว” เนื่องจากการที่ทั้งบริษัทแม่และบริษัทลูกจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ถือเป็นปัญหาเชิงธรรมาภิบาลโดยธรรมชาติ “แม้ HSBC จะต้องจ่ายพรีเมียม แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดการผนึกกำลังเพื่อลดต้นทุนได้”

การตัดสินใจเพิกถอนหุ้นครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงที่มีภาระหนี้สินสูงและกลุ่มเจ้าหนี้กำลังเผชิญแรงกดดันทางการเงินที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากปริมาณหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเกือบ 70%

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ธนาคารฮั่งเส็งมีรายงานตัวเลขหนี้เสียเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารพุ่งขึ้นแตะระดับ 6.7% ของสินเชื่อรวม ณ เดือนมิ.ย. 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับ 2.8% ณ สิ้นปี 2566

เมื่อถูกถามว่าการดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นการ “อุ้ม” กิจการหรือไม่ เมื่อพิจารณาจากคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลง เอลเฮเดอรีปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า “ไม่ใช่กรณีนั้นอย่างสิ้นเชิง” พร้อมเสริมว่าทั้งสองธนาคารได้มีการสื่อสารกันมาโดยตลอดเกี่ยวกับความเสี่ยงในพอร์ตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ของธนาคารฮั่งเส็ง

“เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางของภาคส่วนนี้ในระยะกลางถึงระยะยาว จึงมองว่านี่เป็นเพียงวงจรสินเชื่อระยะสั้น ซึ่งส่วนหนึ่งคือการปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ” เอลเฮเดอรีกล่าว

HSBC ระบุว่าการเพิกถอนหุ้นครั้งนี้จะส่งผลกระทบเชิงลบประมาณ 1.25% ต่ออัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1 Ratio) ซึ่งอยู่ที่ 14.6% ณ สิ้นเดือนมิ.ย. แต่คาดว่าจะสามารถฟื้นฟูอัตราส่วน CET1 กลับสู่ช่วงเป้าหมายที่ 14.0%-14.5% ได้ผ่านการสร้างทุนจากผลการดำเนินงานและการระงับโครงการซื้อหุ้นคืน

HSBC ย้ำว่า ราคาเสนอซื้อนี้ถือเป็นราคาสุดท้าย และธนาคารไม่ได้สงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนราคาดังกล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ต.ค. 68)