
องค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐฯ (FAA) ต้องเลื่อนเที่ยวบินต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ในวันพุธ (8 ต.ค.) เนื่องจากการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลหรือชัตดาวน์ซึ่งยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 8 ได้ส่งผลกระทบให้สนามบินสำคัญหลายแห่งทั่วประเทศต้องขาดแคลนเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ
รายงานระบุว่า จนถึงเวลา 17.30 น.ตามเวลาฝั่งตะวันออก มีเที่ยวบินล่าช้าในสหรัฐฯ ราว 3,000 เที่ยว หลังจากก่อนหน้านี้เกิดความล่าช้าเกือบ 10,000 เที่ยวในวันจันทร์และอังคาร อันเป็นผลจากการชะลอเที่ยวบิน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศขาดงาน
FAA เปิดเผยว่า บางเที่ยวบินที่สนามบินแห่งชาติเรแกนในวอชิงตัน ดีซี ต้องบินวนเพื่อรอลงจอด เนื่องจากระบบบริหารจัดการการจราจรทางอากาศทำงานช้าลง
ฌอน ดัฟฟี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ กล่าว่วา โดยปกติ ปัญหาการขาดแคลนเจ้าหน้าที่จะทำให้เที่ยวบินล่าช้าราว 5% แต่ในช่วงสองวันที่ผ่านมา ตัวเลขพุ่งสูงถึง 53% พร้อมเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศกลับมาปฏิบัติหน้าที่
ดัฟฟียังระบุเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่เหล่านี้กำลังเผชิญภาวะความเครียด และไม่พอใจต่อสถานการณ์ชัตดาวน์ เนื่องจากอาจไม่ได้รับค่าตอบแทน
ขณะเดียวกัน เวส มัวร์ ผู้ว่าการรัฐแมริแลนด์จากพรรคเดโมแครต แถลงที่สนามบินนานาชาติบัลติมอร์/วอชิงตัน เรียกร้องให้รัฐบาลยุติการชัตดาวน์ ชี้ว่าพนักงานควบคุมจราจรและเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยด้านการขนส่ง (TSA) ต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน
ทั้งนี้ แม้รัฐบาลอยู่ในภาวะชัตดาวน์ แต่เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่สำคัญอย่าง ผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศราว 13,000 คน และเจ้าหน้าที่ความมั่นคงด้านการขนส่ง (TSA) อีกประมาณ 50,000 คน ยังต้องมาทำงานตามปกติ แต่ไม่ได้รับค่าตอบแทน
รายงานระบุว่า ปัญหาการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ในการชัตดาวน์รอบนี้เกิดขึ้นเร็วกว่าชัตดาวน์ครั้งก่อนเมื่อปี 2562 ซึ่งทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก โดยในเวลานั้น เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศและเจ้าหน้าที่ TSA ขาดงานเพิ่มขึ้นหลังไม่ได้รับเงินเดือน ส่งผลให้การผ่านจุดตรวจต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นในบางสนามบิน ขณะที่เจ้าหน้าที่ต้องชะลอการจราจรทางอากาศในนิวยอร์ก ซึ่งสร้างแรงกดดันให้สภาคองเกรสเร่งหาทางยุติชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 35 วันได้ในที่สุด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ต.ค. 68)