
สปสช. ย้ำไม่ได้เบี้ยวหนี้ รพ.มงกุฎวัฒนะ ยืนยันดำเนินการทุกอย่างภายใต้กฎหมาย ประกาศ และมติคณะกรรมการ สปสช. จ่ายเงินให้ รพ.ตามรอบ เผยรอจ่ายรอบล่าสุดให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ 36.75 ล้านบาท ภายในวันนี้
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในฐานะโฆษก สปสช. กล่าวถึงกรณีที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ระบุว่า สปสช. เบี้ยวหนี้ไม่จ่ายค่าบริการ ว่า สปสช. ขอยืนยันว่าไม่ได้มีการเบี้ยวหนี้ตามที่กล่าว และการดำเนินการของสปสช. นั้น เป็นไปตามกฎหมายในการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ต้องยึดหลักเกณฑ์ประกาศการจ่ายและมติคณะกรรมการทุกขั้นตอน
ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมได้รับทราบข้อเท็จจริง และเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสาธารณะ สปสช. จึงขอนำเสนอข้อมูลการเบิกจ่ายเงินของ รพ.มงกุฎวัฒนะ อย่างเป็นระบบ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ว่าในแต่ละปีงบประมาณ มีการจ่ายเงินและดำเนินการอย่างไรบ้าง
1. กรณีปีงบประมาณ 2563 ที่ รพ.มงกุฎวัฒนะ ระบุว่ามีจำนวน 13.2 ล้านบาทนั้น เป็นค้างชำระจากคลินิกชุมชนอบอุ่น ซึ่ง รพ.มงกุฎวัฒนะเป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อให้คลินิกดังกล่าว แต่คลินิกถูก สปสช. ยกเลิกสัญญา จากสาเหตุการเบิกจ่ายงบประมาณไม่ถูกต้อง เมื่อปี 63 จึงทำให้คลินิกสิ้นสภาพการเป็นหน่วยบริการคู่สัญญากับ สปสช. และไม่ได้รับงบเหมาจ่ายรายหัวที่สปสช. จัดสรรอีก จึงทำให้ไม่มีเงินรายรับสำหรับการหักเพื่อจ่ายกรณีส่งต่อผู้ป่วยได้ ซึ่งมีโรงพยาบาลที่รับส่งต่อจำนวนหนึ่ง ประสบกับเหตุการณ์ในกรณีนี้เช่นเดียวกัน
โดยในกรณีนี้ มติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 64 ได้ยืนยันชัดเจนว่า สปสช. ไม่มีอำนาจและไม่สามารถนำเงินกองทุนไปจ่ายแทนคลินิกเอกชนที่พ้นสภาพแล้ว เนื่องจากผิดหลักเกณฑ์ และไม่มีกฎหมายรองรับ อย่างไรก็ตาม สปสช.ได้ดำเนินการ Clearing house เพื่อตามเงินจากคลินิกที่ยังสามารถชำระได้ และโอนให้โรงพยาบาลเป็นรอบ ๆ รวม 5 ครั้ง ซึ่ง รพ.มงกุฎวัฒนะ ได้เงินกลับคืนมาแล้ว 4.29 ล้านบาท คงเหลือ 8.92 ล้านบาท
2. ปีงบประมาณ 2566 สปสช. ได้จ่ายเงินให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ ไปแล้วจำนวน 638.55 ล้านบาท ณ วันที่ 30 ก.ย. 66 (ซึ่งเป็นรายรับเงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) และได้รับเพิ่มอีกจำนวน 2.1 ล้านบาท เนื่องจากในปีงบประมาณ 66 ในพื้นที่ กทม. หน่วยบริการมีการตรวจสอบกันเอง ผลการตรวจสอบ พบทั้งการจ่ายเพิ่มและถูกเรียกเงินคืน โดยในส่วนของ รพ.มงกุฎวัฒนะ ได้รับเงินเพิ่ม
3. ปีงบประมาณ 2567 สปสช. ได้จ่ายเงินให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ ไปแล้วจำนวน 651.46 ล้านบาท ณ วันที่ 30 ก.ย. 67 (ซึ่งเป็นรายรับเงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) โดย สปสช. จ่ายชดเชยค่าบริการสาธารณสุขให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ ตามรอบการจ่าย อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. 67 พบว่างบประมาณในรูปแบบงบประมาณปลายปิด อาจจะไม่เพียงพอ คณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพเขต (อปสข.) เขต 13 กทม. จึงมีมติให้จ่ายในรูปแบบ Point System หรือการคำนวณตามคะแนนบริการ และให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ต.ค. 67 จึงต้องมีการคำนวณใหม่ และประกอบกับมีการตรวจสอบกันเองของหน่วยบริการ ผลการคำนวณและตรวจสอบกันเองพบว่า รพ.มงกุฎวัฒนะ ต้องถูกเรียกเงินคืน 16 ล้านบาท หลังหักยอดเงินพึงได้ของ รพ.มงกุฎวัฒนะ จำนวน 22 ล้านบาท
4. ปีงบประมาณ 2568 สปสช. ได้จ่ายเงินให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ ไปแล้วจำนวน 618.754 ล้านบาท ณ วันที่ 14 ก.ย. 68 (ซึ่งเป็นรายรับเงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ที่ยังค้างจ่ายในช่วงของการบริการวันที่ 16-30 ก.ย. 68 มีดังนี้
- เงิน CR กลางของประเทศ หรือบริการกรณีเฉพาะ จำนวน 7.87 ล้านบาท
- เงิน OP REFER หรือการส่งต่อผู้ป่วยนอก จำนวน 3.1 ล้านบาท
- เงิน OP CAP หรือเงินเหมาจ่ายรายหัวผู้ป่วยนอก จำนวน 4.2 ล้านบาท
- เงิน OP CR หรือเงินผู้ป่วยนอกที่เป็นบริการกรณีเฉพาะ 5 รายการในพื้นที่ กทม. จำนวน 2.95 ล้านบาท
- เงินผู้ป่วยใน (IP) จำนวน 49.63 ล้านบาท รวม 67.75 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากตัวเลขดังกล่าว เมื่อลบกับที่ต้องเรียกคืนในปี 67 จำนวน 16 ล้านบาท และมีกรณีที่ สปสช. ได้จ่ายล่วงหน้าให้ รพ.มงกุฎวัฒนะไปแล้ว 70 ล้านบาท ซึ่งหักคืนได้แล้ว 55 ล้านบาท เท่ากับคงเหลือ 15 ล้านบาท ที่ต้องเรียกคืน รวมเป็นเงิน 31 ล้านบาท ดังนั้น จึงเป็นเงินที่ สปสช. ต้องจ่ายให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ จำนวนเงิน 36.75 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประมวลผลข้อมูล และจะจ่ายให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ ได้ภายในวันนี้ (9 ต.ค. 68)

ทพ.อรรถพร กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ รพ.มงกุฎวัฒนะ ประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. 68 เป็นต้นไป จะหยุดให้บริการผู้ป่วยนอกแก่ประชาชนที่ลงทะเบียนกับ รพ.มงกุฎวัฒนะ นั้น สปสช. ขอชี้แจงว่า ปัจจุบันมีประชาชนที่ลงทะเบียนเลือก รพ.มงกุฎวัฒนะ เป็นหน่วยบริการประจำ จำนวนประมาณ 47,000 คน จากข้อมูลพบว่าจำนวนนี้มีสัดส่วนประชาชนที่ป่วยคิดเป็น 19.32% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของ กทม. อยู่ที่ 37.87% โดยเป็นการดูแลในรูปแบบโมเดล 2 คือ เป็นทั้งปฐมภูมิ ประจำ และรับส่งต่อ โดยโรงพยาบาลให้บริการผู้ป่วยตามกฎหมายสถานพยาบาล และกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
โฆษก สปสช. กล่าวว่า ในส่วนของประชาชนที่จะได้รับผลกระทบ สปสช. ได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือ โดยตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. 68 ศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทอง และ สปสช. จะตั้งศูนย์ช่วยเหลือและรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ ใกล้กับ รพ. เพื่อเตรียมช่วยเหลือดูแลผู้ป่วย และได้ประสานมูลนิธิเส้นด้าย จัดรถรับ-ส่งผู้ป่วย ไปที่หน่วยบริการแห่งใหม่ที่ได้เตรียมรองรับไว้แล้ว และได้จัดเตรียมหน่วยบริการระดับปฐมภูมิ ประจำ และรับส่งต่อ ไว้รองรับให้ประชาชนไว้แล้วเช่นกัน
ทั้งนี้ ประชาชนที่ไม่ได้รับความสะดวก โทร.สอบถาม เพื่อขอความช่วยเหลือได้ที่ สายด่วน สปสช. 1330 โทรฟรี 24 ชั่วโมง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ต.ค. 68)