ผู้เชี่ยวชาญเตือน เด็กยุคใหม่โยนให้ AI คิดแทน แนะผู้ปกครองดูแลใกล้ชิด

นอกจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเข้ามาเปลี่ยนโลกการทำงานของผู้ใหญ่แล้ว แชตบอต AI ยังกลายเป็นเพื่อนคู่คิดของเด็กและวัยรุ่นยุคนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการทำการบ้านหรือการพูดคุย ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้สร้างความกังวลให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและการศึกษาจากสถาบันชั้นนำ เช่น MIT ที่ออกโรงเตือนถึงความเสี่ยงทางสติปัญญาและพัฒนาการ โดยการศึกษาเบื้องต้นชี้ชัดว่า การใช้ AI มากเกินไปอาจทำให้กิจกรรมในสมองลดลงอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้เกิด “หนี้ทางปัญญา” และบั่นทอนทักษะการคิดวิเคราะห์ในระยะยาว

ผลสำรวจของ Pew Research Center ในปี 2567 พบว่า วัยรุ่นอเมริกันอายุ 13-17 ปี จำนวน 26% ยอมรับว่าใช้ ChatGPT ช่วยในการเรียน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปีก่อนหน้า และระดับการรับรู้เกี่ยวกับแชตบอตนี้เพิ่มขึ้นจาก 67% ในปี 2566 เป็น 79% ในปี 2567 ตัวเลขเหล่านี้กระตุ้นให้หน่วยงานกำกับดูแลต้องออกโรงดำเนินการเพื่อประเมินผลกระทบของเทคโนโลยี AI ที่มีต่อเยาวชน

CNBC รายงานว่า ในเดือนก.ย. ที่ผ่านมา คณะกรรมการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (FTC) ได้สั่งให้บริษัทเทคโนโลยี 7 แห่ง รวมถึง OpenAI, Alphabet และ Meta ชี้แจงว่า แชตบอต AI ของพวกเขาส่งผลกระทบต่อเด็กและวัยรุ่นอย่างไรบ้าง ซึ่ง OpenAI ตอบสนองโดยประกาศในเดือนเดียวกันว่าจะเปิดตัว ChatGPT สำหรับผู้ใช้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีโดยเฉพาะ พร้อมระบบควบคุมโดยผู้ปกครอง และพัฒนาเครื่องมือเพื่อคาดการณ์อายุของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น

ขณะที่งานวิจัยเบื้องต้นจาก MIT Media Lab ได้ศึกษาการใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ในการเขียนเรียงความ โดยนาตาลียา คอสมีนา หัวหน้าทีมวิจัย พบว่า กลุ่มที่ใช้ AI ช่วยมีการสื่อสารในเครือข่ายสมองอ่อนแอที่สุด เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใช้เสิร์ชเอนจิน และกลุ่มที่คิดด้วยตนเอง

ท้ายที่สุดแล้ว งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า การพึ่งพาแชตบอต AI มากเกินไปอาจนำไปสู่ความรู้สึกที่ว่าผู้ใช้ ‘เป็นเจ้าของผลงานน้อยลง’ และก่อให้เกิด ‘หนี้ทางปัญญา’ (Cognitive Debt) หรือการที่ผู้ใช้ไม่พยายามคิดเองและผลักภาระให้ AI ช่วยคิดแทน ซึ่งจะส่งผลกระทบในระยะยาวให้สมองสูญเสียแรงจูงใจในการใช้เหตุผลและความคิดสร้างสรรค์

“ความสะดวกสบายของการมีเครื่องมือนี้ในวันนี้จะมีราคาที่ต้องจ่ายในภายหลัง … และอาจนำไปสู่ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking)” คอสมีนากล่าว พร้อมทั้งเตือนถึงกรณีที่น่ากังวล เช่น อาการหลอนจาก AI (AI Psychosis) และภาวะซึมเศร้าที่อาจเกิดขึ้น

ความกังวลดังกล่าวสอดคล้องกับนักจิตวิทยาที่เตือนเกี่ยวกับพัฒนาการและความเป็นส่วนตัวจากการใช้ AI โดยพิลยอง คิม ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็ก และอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเดนเวอร์ กล่าวว่า การจำกัดการใช้ Generative AI ในเด็กเล็กมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเด็ก ๆ จำเป็นต้องได้ฝึกใช้ความคิดอย่างเป็นอิสระ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่เด็ก ๆ จะมองว่าแชตบอตเป็นเสมือนมนุษย์ ซึ่งอาจทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เปราะบางได้ง่ายขึ้น รวมถึงความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวที่ผู้ใช้รุ่นเยาว์อาจไม่ตระหนักถึง

ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่า ทั้งหน่วยงานกำกับดูแลและบริษัทเทคโนโลยีมีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกันในการจัดทำมาตรการป้องกันที่เหมาะสมเพื่อปกป้องเยาวชนที่เกิดมาในยุค AI พร้อมทั้งให้คำแนะนำสำหรับผู้ปกครองว่า ควรสื่อสารอย่างเปิดกว้างกับบุตรหลาน และคอยสอดส่องดูแลเครื่องมือ AI ที่พวกเขาใช้ รวมถึงสิ่งที่พวกเขาพิมพ์โต้ตอบกับแชตบอต

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ต.ค. 68)