นายกฯ มั่นใจสาธารณสุขไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก หนุนเป็น “Health Hub of The World”

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ธรรมาภิบาลทางการแพทย์กับการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน” ในการสัมมนาวิชาการแพทยสภาและสถาบันมหิตลาธิเบศร 2568 โดยระบุว่า ที่ผ่านมาได้นำความรู้ ประสบการณ์ และเครือข่าย Network ที่ได้รับจากการได้เรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลทางการแพทย์สำหรับผู้บริหารระดับสูง (ปธพ.) มาสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้อย่างมากมายมหาศาล ทั้งด้านการสาธารณสุข การแพทย์ และเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดิน

โดยเมื่อครั้งที่เป็น รมว.สาธารณสุข ได้นำความรู้และเครือข่ายดังกล่าว มาใช้การแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 จัดสถานที่สำหรับฉีดวัคซีน การตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิดฯ เช่น โรงพยาบาลบุษราคัม ที่อิมแพคเมืองทองธานี ก่อนมีการขยายไปสู่โรงพยาบาลสนามอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างๆ สำหรับดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิดฯ ด้วย

นายอนุทิน กล่าวว่า จากความร่วมมือของบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทุกภาคส่วน และการดำเนินการสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ประเทศไทยสามารถผ่านพ้นช่วงสถานการณ์โควิดฯ มาได้ด้วยดี จนนานาชาติและองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง ให้การชื่นชมระบบสาธารณของสุขไทยอย่างมาก สิ่งเหล่านี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ระบบสุขภาพไทยเป็นระบบที่เชื่อถือได้อย่างมาก มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้

นายกรัฐมนตรี ยังแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ในการทำงาน การพัฒนาบุคลากร และพัฒนาระบบสาธารณสุขของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี), กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เช่น การใช้เทคโนโลยี AI ช่วยวินิจฉัยโรคและรักษาโรคต่าง ๆ เป็นต้น

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำถึงการที่รัฐบาลต้องมีการจัดเตรียมงบประมาณไว้สำหรับดูแลคุณภาพชีวิตของคนไทย รวมถึงรองรับสังคมสูงวัย หรือ Aging society ให้สามารถดูแลตนเองได้ไม่เป็นภาระลูกหลาน ตลอดจนการดูแลกลุ่มคนสูงวัย และประชาชนที่มีความเจ็บป่วย ให้ทุกคนได้เข้าถึงคุณภาพของการรักษาพยาบาล และคุณภาพของยาอย่างถ้วนหน้า รวมทั้งการเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายการรักษาพยาบาลเรื่องฟอกไตฟรี เพื่อให้คนไทยได้รักษาฟรีและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน

ขณะเดียวกัน ในส่วนของภาคเอกชนนั้น นายกรัฐมนตรี ย้ำว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ ในการที่จะทำให้ประเทศไทยเป็น “health hub of the world”

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ต.ค. 68)