
นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงกรณีการลงนามข้อตกลงร่วม (Joint Statement) ระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การลงนามระหว่างไทย-สหรัฐฯ มีอยู่ 2 เรื่องที่คาบเกี่ยวกัน กรณีแรก คือ ข้อตกลงร่วมเรื่องภาษีทรัมป์ ที่รอบแรกเมื่อเดือนเม.ย.68 มีการประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเป็น 36% และรอบที่ 2 เมื่อเดือนส.ค.-ก.ย. มีการปรับลดเหลือ 19% แต่ในเวลานั้นสังคมไทยยังไม่รู้ว่าเราต้องเอาอะไรไปแลกบ้าง
โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน และประกาศเป็นข้อตกลงร่วมออกมา ซึ่งนี่เป็น “โค้งสุดท้าย” ที่มีความสำคัญ และพรรคประชาชน อยากให้รัฐบาลเชิญชวนคนที่เกี่ยวข้องเข้าไปพูดคุยกับทีมไทยแลนด์ให้มากขึ้นกว่านี้ เช่น เกษตรกรที่เกี่ยวข้องกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพราะในรอบที่ 2 ที่มีการลดภาษี มีแต่ผู้แทนระดับแกนนำของแต่ละภาคธุรกิจเข้าไปคุย เมื่อเป็นรอบที่ 3 แล้ว รัฐบาลและทีมไทยแลนด์ควรเปิดกว้างให้คนที่จะเป็นผู้ได้รับผลกระทบจริงเข้าไปพูดคุย และหารือว่าเป็นการคุ้มหรือไม่ที่จะแลก หากต้องเยียวยาและปรับตัวควรทำอย่างไร
“ในรอบสามนี้ ข้อดี คือ ประเทศไทยเห็นแล้วว่าประเทศคู่แข่ง ต่อรองกับสหรัฐฯ อย่างไร ควรเปรียบเทียบว่าสิ่งที่ประเทศไทยเอาไปแลกกับสหรัฐฯ เยอะเกินไปหรือไม่ เช่น เครื่องบินที่สหรัฐฯ บังคับให้ทุกประเทศซื้อหมด แต่ประเทศไทยซื้อเยอะที่สุด 80 ลำ รวมมูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการต่อรองอัตราภาษีจาก 36% ให้เหลือ 19% ขณะที่เวียดนาม ต่อรองจาก 46% ลงมาเหลือ 20% แต่ซื้อเครื่องบินแค่ 50 ลำ ขณะที่มาเลเซีย เสนอซื้อเพียง 30 ลำเท่านั้น” นายวีระยุทธ กล่าว
ส่วนอีกเรื่องที่เป็นประเด็นขึ้นมา คือ แร่หายาก (แรร์ เอิร์ธ) ว่าขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการต่อรองในรอบแรก เป็นการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ เดินทางมาพร้อมกับยุทธศาสตร์ใหญ่ ที่อยากมีส่วนร่วมในเรื่องแร่หายากกับประเทศเอเชีย ซึ่ง ณ จุดนี้ยังไม่มีใครได้ใครเสีย แต่ประเทศไทยต้องมีการเตรียมตัวและสำรวจได้แล้ว และหากจะมีการเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในอนาคต
โดยเรื่องนี้ยังอยู่ในยกที่ 1 แต่รัฐบาลควรสื่อสารเรื่องแรร์เอิร์ธกับสังคมให้ชัดเจน เพราะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ จะวางกรอบการปันผลประโยชน์ในอนาคตอย่างไร ซึ่งเรื่องใหญ่ที่สุด คือ เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ เพราะการลงนาม MOU กับสหรัฐอเมริกาเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จีนก็จะถามว่าแล้วกับจีน ประเทศไทยจะเอาอย่างไร หากประเทศไทยเริ่มยอมมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ก็อาจจะต้องมีการยอมให้กับมหาอำนาจประเทศอื่นต่อ และอาจจะต้องยอมให้เขามากกว่า
“สิ่งที่จะมีการปันผลประโยชน์ ต้องมีความชัดเจน เมื่อยังเป็นรอบที่ 1 ก็ต้องเริ่มคุย หากปล่อยไป ก็อาจถูกเอาเปรียบได้ เมื่อยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจชัดเจนแล้ว ยุทธศาสตร์ของไทยเรา ก็ต้องชัดเจนเช่นเดียวกัน” รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าว
สำหรับสิ่งที่น่ากังวลนั้น นายวีระยุทธ กล่าวว่า หากมองภาพในขณะนี้ เรื่องที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ยึดเป็นหลักในการเจรจากับประเทศในเอเชีย คือ เรื่อง “ภาษีดิจิทัล” ซึ่งบริการและผลิตภัณฑ์ดิจิทัลเป็นแหล่งรายได้สำคัญ และเป็นสิ่งที่ประเทศไทยมีการสูญเสียออกนอกประเทศอยู่มาก บริการต่าง ๆ ที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน มาจากสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก มีการเขียนไว้ในข้อตกลงร่วมว่าขอให้ประเทศไทยละเว้นการเก็บภาษีในส่วนนี้
แต่หากไปดูเวียดนาม จะพบว่ามีการระบุไว้กว้าง ๆ เพียงว่าจะมีการไปเจรจา และหาข้อสรุปต่อ ซึ่งแตกต่างจากไทยที่มีการผูกมัดไว้แล้วว่าจะไม่เก็บภาษี ทั้งที่ควรมีการพูดคุยกันภายในก่อน ว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่กับสิ่งที่ประเทศไทยจะเสียไป แล้วจะทำอย่างไรกับบริการดิจิทัลจากประเทศอื่น
นายวีระยุทธ กล่าวต่อว่า อีกกรณีที่อาจจะยังไม่ค่อยเป็นข่าว คือในข้อตกลงร่วมที่ไทยลงนามกับสหรัฐฯ มีการระบุไว้ชัดเจนว่าขอให้กรมศุลกากรยกเลิก “ระบบการให้เงินสินบนและรางวัลนำจับ” ซึ่งประเทศไทยใช้มายาวนาน เป็นอีกกรณีที่ยังไม่เคยมีการหารือกันภายในประเทศมาก่อน และน่าจะเป็นข่าวครั้งแรก ซึ่งตนอยากให้กระทรวงการคลัง ไปศึกษาให้ชัดว่าจะไปทางนี้จริงหรือ จะมีผลได้ผลเสียอย่างไรทั้งกับประเทศ และกลไกราชการ
“เมื่อเป็นยกที่ 3 แล้ว เรารู้แล้วว่าผู้ได้ผู้เสียมีใครเกี่ยวข้องบ้าง เกษตรกร กรมศุลกากร ฝ่ายที่ต้องซื้อเครื่องบิน หรือผู้บริโภคต่าง ๆ ที่ใช้บริการดิจิทัลของสหรัฐอเมริกา ตรงนี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะใช้เวทีนี้ อย่างที่ รมว.พาณิชย์ ระบุไว้ ว่าจะจัดการให้เสร็จภายในปลายปี 2568 จึงเหลือเวลาอีกราว 2 เดือนเท่านั้นที่ประเทศไทยจะมาจัดการกันภายใน อยากให้รัฐบาลเปิดเวทีรับฟังผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 8 สัปดาห์ 8 วาระได้เลย” รองหัวหน้าพรรคประชาชนกล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ต.ค. 68)





