สมช. มีมติระงับการปฏิบัติตาม Joint declaration ทุกข้อ-งดส่งเชลยศึกคืนให้กัมพูชา

ณัฐพล นาคพาณิชย์ (ภาพ: Thaigov)

พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ได้เรียกประชุมด่วนหลังจากวานนี้ (10 พ.ย.) เกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดจนข้อเท้าขาดขณะลาดตระเวนในพื้นที่บริเวณห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษว่า ที่ประชุมพิจารณา 3 เรื่องหลัก คือ 1. การสูญเสียของกำลังพลของกองทัพไทย เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะยอมรับไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลขอแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียในครั้งนี้ 2. การที่ยังคงมีกับระเบิดในพื้นที่อธิปไตยของไทย ถือว่ามีผลกระทบต่ออธิปไตย และ 3. รัฐบาลจะปกป้องอธิปไตย ตลอดจนชีวิตของคนไทยและทหารไทยอย่างเต็มขีดความสามารถ

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ฝ่ายไทยตัดสินใจที่จะระงับการปฎิบัติตาม Joint Declaration ระหว่างไทย-กัมพูชาทั้งหมดไว้ก่อน รวมทั้งยุติการส่งเชลยศึกทั้ง 18 คนคืนกลับประเทศกัมพูชา

รมว.กลาโหม กล่าวถึงการปฏิบัติการทางทหารในช่วงต่อจากนี้ว่า ได้รับอนุมัติจากที่ประชุม สมช. ให้กองทัพดำเนินการได้ตามสถานการณ์ ซึ่งในปฏิบัติการทางทหารจะมีกฎระเบียบในการใช้กำลังปฏิบัติอยู่แล้ว โดยจะไม่ขอลงในรายละเอียด

ส่วนแผนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดนั้น พล.อ.ณัฐพล ย้ำว่าการเก็บกู้ทุ่นระเบิดมีสองระดับ คือ ระดับหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่ มีขีดความสามารถในการเก็บกู้ได้เอง ที่ผ่านมาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวหน่วยทหารที่ปฏิบัติการในพื้นที่สามารถเก็บกู้ทุนระเบิดได้ แต่การเก็บกู้ที่เป็นทางการและได้มาตรฐานเต็มรูปแบบ คือการเก็บกู้โดยหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ซึ่งกองทัพไทยเป็นผู้รับผิดชอบ ขณะนี้กองทัพไทยรับผิดชอบเก็บกู้ใน 5 พื้นที่ แต่อีก 1 พื้นที่ทางกัมพูชายังไม่ตอบรับ ซึ่งไทยก็จะเข้าไปเก็บกู้เลย

ส่วนในอนาคตหากกัมพูชายังลักลอบรื้อรั้วลวดหนามและวางทุ่นระเบิด ไทยจะมีมาตรการอย่างไรนั้น พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไทยมีกฎการใช้กำลังตามขั้นตอน คือ เตือน ยิงด้วยอาวุธเบา และอาวุธหนัก แต่ไม่ขอชี้แจงในรายละเอียด ขอให้มั่นใจการปฏิบัติการทางทหาร ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม สมช. ว่า ให้สามารถดำเนินการได้ตามสถานการณ์ และจะไม่มีการเจรจาทั้งจากตนเอง จากกระทรวงกลาโหม จาก GBC แต่การพูดคุยระหว่างประเทศมีกระบวนการที่เป็นสากลอยู่

ส่วนจะมีการทบทวนการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่หรือไม่นั้น รมว.กลาโหม ไม่ขอตอบในเรื่องนี้

ด้านนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ท่าทีของไทยที่ผ่านมาจะนำไปสู่สันติภาพก็ต่อเมื่อมีการปฏิบัติในข้อต่าง ๆ ที่ได้ระบุไว้ในถ้อยแถลง ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นการละเมิดการปฏิบัติตามข้อตกลง แต่ส่วนไหนที่ไทยสามารถดำเนินการฝ่ายเดียวได้ก็จะดำเนินการไปเลย เช่น การเก็บกู้ทุนระเบิดก็จะดำเนินการต่อ เพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัยของประชาชนตามแนวชายแดน

สำหรับการดำเนินการประท้วงนั้น ได้พูดคุยกับรองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศของกัมพูชาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และไทยจะทำการประท้วงเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังกัมพูชา และประท้วงในกรอบอนุสัญญาออตตาวาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิด พร้อมกับชี้แจงการดำเนินการไปยังสหรัฐฯ และมาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ที่ลงนามร่วมในสักขีพยานในถ้อยแถลงดังกล่าวถึงความจำเป็นที่ไทยต้องขอระงับการปฏิบัติตาม และรวมทั้งต้องชี้แจงข้อเท็จจริงต่าง ๆ ไปยังประชาคมโลก ซึ่งจะประสานไปยังกระทรวงกลาโหม กองทัพไทย กองทัพบก เพื่อให้ท่าทีของไทยมีความหนักแน่น และมีความชอบธรรม

“วานนี้ ได้มีการพูดคุยกับนายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศกัมพูชา โดยเราได้เรียนให้ทราบว่า เหตุการณ์นี้ไม่ควรเกิดขึ้น เป็นการละเมิดสิ่งที่ตกลงกันไว้ ไทยจึงต้องประท้วงและขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง” นายสีหศักดิ์ กล่าว

พร้อมระบุว่า ถ้าจะให้มีการปฏิบัติตามถ้อยแถลงเพื่อไปสู่ที่สิ่งที่ควรจะเป็นนั้น ฝ่ายกัมพูชาต้องแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ด้วย คือ การแสดงความเสียใจ ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่าง ๆ และกำหนดมาตรการเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก การประท้วงในครั้งนี้เพราะมีการละเมิดข้อตกลง และทำความเข้าใจกับประชาคมโลกว่าเหตุใดจึงจะต้องระงับการปฏิบัติตามถ้อยแถลง ถือเป็นการประณามกัมพูชาที่ละเมิด ทั้งหมดถือว่ามีความเด็ดขาด และแสดงท่าทีที่ชัดเจน

ส่วนกรณีที่กัมพูชาออกมาระบุว่าเป็นทุ่นระเบิดเก่านั้น นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า การชี้แจงของทางกัมพูชายังไม่พอเพียงที่จะทำให้ฝ่ายไทยมีความมั่นใจ และมีความสบายใจ ท่าทีของไทยในขณะนี้คือ การระงับการปฏิบัติตามข้อตกลง ไม่ใช่การประท้วงเพียงอย่างเดียว หลังจากนั้นจะดูท่าทีของฝ่ายกัมพูชาว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจในครั้งนี้

ส่วนไทยจะสามารถจะคว่ำบาตรความสัมพันธ์ได้หรือไม่นั้น นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า ขอให้ดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน และขอดูท่าทีของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการพูดถึงเรื่องการเจรจาใด ๆ เลย เพราะยังไม่มีพื้นที่สำหรับการพูดคุย ต้องดูท่าทีการตอบสนองของกัมพูชาก่อน

ด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดในพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นความสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้นในผืนแผ่นดินไทย พร้อมแจ้งที่ประชุม ครม. ถึงผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ช่วงเช้ามีมติให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ “ระงับการดำเนินการตามถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration)” ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ อย่างไม่มีกำหนด จนกว่าสถานการณ์ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาจะคลี่คลายลง

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหม เพิ่มมาตรการทางทหารอย่างเข้มงวด เพื่อพิทักษ์รักษาอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศทักท้วงทางการทูตและสร้างความเข้าใจกับนานาประเทศ โดยเฉพาะประเทศผู้สังเกตการณ์ ขณะเดียวกันได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเร่งให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่ชายแดน 7 จังหวัด เพื่อเตรียมพร้อมหากเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิด รวมทั้งให้กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดซักซ้อมแผนรองรับกรณีเหตุฉุกเฉิน โดยนายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวอย่างเข้มข้น และต่อเนื่อง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 พ.ย. 68)

ข่าวล่าสุด