ทรัมป์ทุ่มเงินกว่า 82 ล้านดอลล์ ซื้อพันธบัตร-หุ้นกู้ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ (ภาพ: thaigov.go.th)

เอกสารทางการเงินซึ่งเปิดเผยต่อสาธารณชนเมื่อวันเสาร์ (15 พ.ย.) เผยให้เห็นว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้เข้าถือครองหุ้นกู้บริษัทเอกชนและพันธบัตรของหน่วยงานเทศบาลเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปลายเดือนส.ค.ถึงต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงการลงทุนในภาคธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากนโยบายของรัฐบาล

เอกสารฉบับดังกล่าว ซึ่งเผยแพร่โดยสำนักงานจริยธรรมรัฐบาลสหรัฐฯ (U.S. Office of Government Ethics) ระบุว่า ทรัมป์มีรายการลงทุนมากกว่า 175 รายการ ตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค. ถึง 2 ต.ค. โดยการเปิดเผยข้อมูลนี้เป็นไปภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยจริยธรรมในรัฐบาล (Ethics in Government Act) ซึ่งเป็นกฎหมายเพื่อความโปร่งใสที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2521 ทว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่ได้บังคับให้ต้องระบุมูลค่าที่แน่ชัด เพียงแต่เปิดเผยเป็นช่วงมูลค่ากว้าง ๆ เท่านั้น

ทั้งนี้ มูลค่ารวมสูงสุดของการเข้าซื้อตราสารหนี้ตามที่ระบุในเอกสาร อาจมีมูลค่าสูงเกินกว่า 337 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สินทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ปรากฏในเอกสารฉบับนี้ ประกอบด้วยพันธบัตรที่ออกโดยหน่วยงานเทศบาล, มลรัฐ, เคาน์ตี, เขตการศึกษา ตลอดจนองค์กรอื่นอันมีความเกี่ยวเนื่องกับหน่วยงานภาครัฐ

การลงทุนในตราสารหนี้ครั้งใหม่ของทรัมป์นั้น ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลายประเภท โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรง หรือกำลังจะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน อาทิ การผ่อนคลายกฎระเบียบทางการเงิน

สำหรับหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ทรัมป์เข้าถือครองนั้น ปรากฏชื่อบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่อย่าง Broadcom และ Qualcomm, บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Meta Platforms, กลุ่มค้าปลีกเช่น Home Depot และ CVS Health รวมถึงธนาคารยักษ์ใหญ่แห่งวอลล์สตรีทอย่าง Goldman Sachs และ Morgan Stanley

การเข้าซื้อหุ้นกู้ของกลุ่มวาณิชธนกิจในช่วงปลายเดือนส.ค.นั้น ปรากฏชื่อของ JP Morgan รวมอยู่ด้วย ที่น่าสนใจคือ ทรัมป์ยังได้เข้าซื้อหุ้นกู้ของบริษัท Intel ภายหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เข้าซื้อหุ้นในบริษัทดังกล่าว

อนึ่ง คณะทำงานของรัฐบาลเคยชี้แจงไว้ก่อนหน้านี้ว่า ปธน.ทรัมป์ได้ยื่นเอกสารแสดงข้อมูลการลงทุนตามข้อบังคับอย่างสม่ำเสมอ แต่ทั้งตัวประธานาธิบดีและครอบครัวไม่ได้มีส่วนในการบริหารดูแลเงินลงทุนก้อนนี้ เนื่องจากได้มอบหมายให้สถาบันการเงินภายนอกเป็นผู้จัดการดูแล

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 พ.ย. 68)