น้ำมัน WTI ปิดลบ 30 เซนต์ หลังทรัมป์ผลักดันข้อตกลงสันติภาพรัสเซีย-ยูเครน

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (20 พ.ย.) หลังมีรายงานว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ผลักดันให้ยูเครนยอมรับข้อตกลงสันติภาพกับรัสเซีย เพื่อยุติสงครามที่ยาวนานกว่า 3 ปี

  • ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 30 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 59.14 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 13 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 63.38 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

เอ็นบีซี นิวส์รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ว่า ปธน.ทรัมป์อนุมัติแผนสันติภาพ 28 ข้อระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้จัดทำขึ้นโดยการหารือกับเจ้าหน้าที่ของสองประเทศ โดยแผนดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่การให้หลักประกันด้านความมั่นคงแก่ทั้งสองฝ่ายเพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน

รายงานระบุว่า แผนสันติภาพดังกล่าวครอบคลุมถึงการที่ยูเครนยอมยกดินแดนบางส่วนให้กับรัสเซียและลดกำลังทหารของยูเครน ขณะที่ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนกล่าวว่า เขาจะพิจารณาข้อเสนอดังกล่าวและจะหารือกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับแผนสันติภาพนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เขาเคยปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์จากบริษัท Price Futures Group กล่าวว่า นักลงทุนในตลาดคิดว่าข้อเสนอใหม่นี้จะถูกเซเลนสกีปฏิเสธในทันที แต่เขาไม่ได้ทำเช่นกัน โดยขณะนี้นักลงทุนหันไปจับตาว่ามาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯ ประกาศใช้กับบริษัทน้ำมันของรัสเซียจะยังมีผลบังคับใช้ในวันศุกร์ที่ 21 พ.ย.หรือไม่

ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศคว่ำบาตร Rosneft และ Lukoil ซึ่งเป็นสองบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซีย โดยกำหนดเส้นตายให้บริษัทต่าง ๆ ยุติการทำธุรกรรมกับ Rosneft และ Lukoil ในวันศุกร์ที่ 21 พ.ย. โดยมีเป้าหมายกดดันให้รัสเซียยุติสงครามในยูเครน

กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ว่า การคว่ำบาตรครั้งใหม่นี้จะส่งผลกระทบต่อความสามารถของรัสเซียในการหารายได้สนับสนุนการทำสงครามในยูเครน และคาดว่าจะทำให้ปริมาณการส่งออกน้ำมันของรัสเซียลดน้อยลงด้วย

นักวิเคราะห์กล่าวว่า แม้สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ลดลง 3.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 14 พ.ย. ซึ่งมากกว่าที่คาดว่าจะลดลงเพียง 600,000 บาร์เรล แต่สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2.3 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 171,000 บาร์เรล ซึ่งบ่งชี้ว่าปริมาณการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ ชะลอตัวลง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 พ.ย. 68)