
น.ส.พิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 1% จากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ตามการปรับคาดการณ์แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เป็นสำคัญ
นอกจากนี้ เงินบาทยังได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากแรงขายเงินตราต่างประเทศของผู้ส่งออก และเงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตร รวมถึงการขายเงินตราต่างประเทศของกลุ่มบริษัททองคำ หลังราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นเร็วกว่า 4% ซึ่ง ธปท. อยู่ระหว่างดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้
– เสนอกระทรวงการคลัง ปรับปรุงหลักเกณฑ์ เพื่อการขยายวงเงินรายได้ต่างประเทศที่ไม่ต้องนำกลับเข้าประเทศเป็น 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ครั้ง จากไม่เกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ครั้ง โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในช่วงปลายปีนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้แก่ภาคเอกชนในการบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศ และลดแรงกดดันด้านแข็งค่าของเงินบาท
– ปรับแนวปฏิบัติ และกำชับให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดก่อนการรับทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวกับทองคำ
– เสนอให้กระทรวงการคลัง พิจารณาให้กลุ่มผู้ค้าทองคำรายใหญ่ รายงานข้อมูลการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามธุรกรรม และประเมินผลกระทบต่อค่าเงินบาท รวมทั้งกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
“ในระยะถัดไป ตลาดการเงินยังมีความไม่แน่นอนสูง โดย ธปท. จะยังติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และพร้อมเข้าดูแลความผันผวนของค่าเงิน เพื่อลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจ” น.ส.พิมพ์พันธ์ ระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ธ.ค. 68)





