
ปัจจุบัน ผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะ Gen Z ทำความรู้จักแบรนด์และตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านคอนเทนต์ของครีเอเตอร์เป็นหลัก บทบาทของครีเอเตอร์จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ “ผู้ผลิตคอนเทนต์” อีกต่อไป แต่กลายเป็นทั้งช่องทางการตลาดและช่องทางจัดจำหน่ายที่ทรงพลังแห่งยุค
แล้วแบรนด์จะเล่นเกมครีเอเตอร์นี้อย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่โดดเด่น บนเวทีเสวนา “Prompt the Future: The Power of Creators Economy” ในงาน Thailand Marketing Day 2025 ผู้เชี่ยวชาญที่คร่ำหวอดในวงการครีเอเตอร์ 3 ท่าน ได้มาร่วมถ่ายทอดกลยุทธ์และอินไซต์สำคัญที่จะช่วยนักการตลาดใช้พลังของครีเอเตอร์ได้อย่างเต็มศักยภาพ
มองเกมยาว วางแผนกลยุทธ์การตลาดครีเอเตอร์แบบ Full Funnel
คุณสุวิตา จรัญวงศ์ CEO & Co-founder, Tellscore บริษัทพัฒนาเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มบริหารจัดการอินฟลูเอนเซอร์ เผยว่า ความผิดพลาดหลักของแบรนด์คือการมองการตลาดครีเอเตอร์แบบตัดขาด เน้นแคมเปญสั้น ๆ แทนที่จะวางกลยุทธ์ครีเอเตอร์ครอบคลุมทุกขั้นตอนของ Marketing Funnel ตั้งแต่ Upper Funnel ที่เน้นสร้างการรับรู้ จุดประกายความสนใจ และกระตุ้นดีมานด์ ไปจนถึง Lower Funnel ที่มุ่งสร้างคอนเวอร์ชัน เช่น การปิดยอดขายจากการปักตะกร้าบนแพลตฟอร์ม
สำหรับ Upper Funnel ซึ่งเป็นจุดแข็งของ Tellscore คุณสุวิตาแนะนำกลยุทธ์ที่เรียกว่า “ป่าล้อมเมือง” โดยเริ่มจากการทำความเข้าใจแก่นของแบรนด์ จุดเด่นสินค้า และกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนก่อน จากนั้นจึงคัดเลือกครีเอเตอร์ที่เหมาะสม ผสานการเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงที่จริงใจและน่าเชื่อถือ เพื่อสร้าง “reasons to believe” ให้ผู้บริโภครับรู้ว่าทำไมต้องเลือกแบรนด์นี้ และต่อยอดไปสู่การสร้างยอดขายใน Lower Funnel
อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญคือ การสร้างชุมชนครีเอเตอร์ของแบรนด์เอง ด้วยการดึงผู้บริโภคทั่วไปให้มาร่วมเป็นครีเอเตอร์ผ่านการมอบสิ่งจูงใจที่เหมาะสม วิธีนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุน แต่ยังสามารถนำคอนเทนต์จากผู้ใช้จริง (UGC) ไปต่อยอดทำแคมเปญหรือยิงโฆษณา สร้างพื้นที่ของแบรนด์ในระยะยาวได้อีกด้วย

3 เกณฑ์ที่ครีเอเตอร์สายขายใช้เลือกสินค้า “ปักตะกร้า”
สำหรับ Lower Funnel หรือการปิดการขาย คุณธานัท จารุฤทธิไกร Chief Executive Officer, SHOPGENIX เผยว่า ครีเอเตอร์สายขายจะมีเกณฑ์การเลือกสินค้าที่ชัดเจน เน้นเฉพาะสินค้าที่เชื่อว่าจะขายได้เป็นหลัก เพราะทั้งเวลาและพื้นที่บนชั้นวาง (shelf space) หรือในตะกร้าระหว่างการไลฟ์สดมีจำกัด และไม่มีใครอยากทำงานฟรี ดังนั้น การตัดสินใจเลือกสินค้าของครีเอเตอร์ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก
1. แบรนด์ที่ดังอยู่แล้ว – สินค้าที่เป็นที่รู้จักดีในตลาด โดยเฉพาะแบรนด์ที่ติด Top 5 ในหมวดหมู่ ครีเอเตอร์แทบไม่ต้องใช้เวลาปูพื้นมาก แค่บอกโปรโมชันก็ขายได้ทันที แม้ค่าคอมมิชชันอาจไม่สูง แต่โอกาสปิดการขายมีมาก
2. แบรนด์ที่กำลังจะดัง – สินค้าที่มีโอกาสขึ้นเทรนด์ตามฤดูกาลหรือสถานการณ์ เช่น เครื่องปั่นไฟช่วงน้ำท่วม เสื้อกันฝน หรือสระน้ำเป่าลมช่วงฤดูร้อน ครีเอเตอร์จะมองว่าสินค้าเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะขายได้
3. แบรนด์ที่มีแผนการตลาด – เหมาะสำหรับสินค้าน้องใหม่ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก แม้จะยังไม่ดัง แต่หากแบรนด์มีแผนการตลาดที่แข็งแรง หรือแคมเปญสนับสนุนที่ต่อเนื่อง เช่น มีดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์ใหญ่ช่วยโปรโมต ครีเอเตอร์จะตัดสินใจหยิบสินค้าขึ้นมาขายมากขึ้น เพราะเชื่อมั่นใจว่าจะปิดยอดได้
ทั้ง 3 ปัจจัยนี้สะท้อนให้เห็นว่า การทำ Lower Funnel ให้สำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับครีเอเตอร์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการวางแผนกลยุทธ์ของแบรนด์อย่างรอบด้าน ตั้งแต่การสร้างการรับรู้ใน Upper Funnel ไปจนถึงการผลักดันยอดขายเชิงรุกใน Lower Funnel
ฟังเคล็ดลับจากสนามจริง ส่องเทคนิคครีเอเตอร์มืออาชีพ
คุณวศิน พรวิจิตรจินดา กรรมการบริหาร กัดไม่ปล่อย อะคาเดมี่ เจ้าของเพจ “อาจารย์เชียง กัดไม่ปล่อย” เสริมมุมมองดังกล่าวจากประสบการณ์ตรงว่า ครีเอเตอร์ส่วนใหญ่ไม่ได้เลือกสินค้าจากค่าคอมมิชชันเป็นหลัก แต่เลือกสินค้าที่ร้อนแรงและขายง่ายที่สุด โดยใช้เครื่องมือหลังบ้านของแพลตฟอร์มเป็นตัวช่วย เช่น TikTok Creator Center เพื่อติดตามเทรนด์และวิเคราะห์ว่าผลิตภัณฑ์ไหนกำลังมาแรง
ครีเอเตอร์ส่วนมากให้ความสำคัญกับช่วงเติบโตของสินค้า (Growth Stage) ซึ่งถือเป็นโอกาสทอง เพราะแบรนด์มักอัดงบการตลาดและค่าคอมมิชชันสูงที่สุด ทำให้ครีเอเตอร์สามารถสร้างรายได้มาก แตกต่างจากช่วงระยะแนะนำ (Introduction Stage) ที่สินค้าใหม่ยังไม่เป็นที่รู้จักและขายยาก
สำหรับแบรนด์ คุณวศินย้ำว่าแบรนด์ต้องกลับมาให้ความสำคัญกับการตลาดครบ 4P ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ (Product), ราคา (Price), ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place) และการส่งเสริมการขาย (Promotion) เพราะเมื่อสินค้าดีและแผนการตลาดแข็งแรง สินค้าจะกลายเป็นตัวเลือกที่ครีเอเตอร์พร้อมหยิบขึ้นมาขายทันที และยิ่งหากแบรนด์เสริมทัพแคมเปญการตลาดและดันสินค้าร่วมไลฟ์กับครีเอเตอร์ระดับท็อป ก็จะช่วยให้การปิดยอดขายง่ายขึ้นไปอีก

AI พลิกเกมครีเอเตอร์ ช่วยสร้างคอนเทนต์ ปิดยอดขายจริง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อวงการครีเอเตอร์ คุณธานัท ซีอีโอ SHOPGENIX ในฐานะบริษัทที่ดูแลครีเอเตอร์สายขาย เผยว่า AI กำลังกลายเป็นทั้งจุดเปลี่ยนและตัวเร่งความเร็วสำหรับวงการนี้
ปัจจุบัน SHOPGENIX ได้ลงทุนพัฒนาระบบ AI Automation เพื่อช่วยครีเอเตอร์สร้างวิดีโอและภาพสินค้าจำลองด้วย AI สำหรับสินค้าที่มีขนาดใหญ่ ราคาแพง หรือยากต่อการจัดส่ง เช่น เครื่องปั่นไฟ หรือเก้าอี้นวด วิธีนี้ทำให้ครีเอเตอร์สามารถปักตะกร้าและสร้างยอดขายได้แม้ไม่ต้องมีสินค้าจริงอยู่กับตัว ขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์แบรนด์ที่ไม่ต้องการเสียต้นทุนในการส่งของให้ครีเอเตอร์
นอกจากนี้ การใช้ AI ช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถผลิตคอนเทนต์จำนวนมากต่อวัน เช่น 40 วิดีโอต่อวัน ซึ่งมากกว่าที่มนุษย์ทั่วไปสามารถทำได้ ทำให้มีโอกาสเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น คุณธานัทยกตัวอย่างกรณีที่ครีเอเตอร์สามารถปิดยอดขายเก้าอี้นวดราคาหลักหมื่นบาท รวมยอดขาย 14 ล้านบาทภายใน 1 เดือน และได้รับค่าคอมมิชชันถึง 700,000 บาท จากคลิปวิดีโอ 1,200 คลิปที่สร้างด้วย AI
สำหรับคำถามที่หลายคนสงสัยว่าแพลตฟอร์มจะแบน AI หรือไม่ คุณธานัทชี้ว่า สินค้าเหล่านี้สร้างมูลค่าและค่าธรรมเนียมสูงให้กับแพลตฟอร์ม เช่น เก้าอี้นวดราคา 10,000 บาท แพลตฟอร์มจะได้ค่าธรรมเนียม 15% หรือ 1,500 บาท ซึ่งเป็นรายได้ก้อนโตที่แพลตฟอร์มไม่มีเหตุผลที่จะปิดกั้น
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แบรนด์ที่จะก้าวเป็นผู้ชนะในโลกครีเอเตอร์ยุคใหม่ต้องปรับมุมมองว่า ครีเอเตอร์ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตคอนเทนต์หรือสื่อโฆษณา แต่เป็น “คู่ค้าทางธุรกิจที่ทรงอิทธิพล” หากผนวกความเข้าใจนี้เข้ากับการวางกลยุทธ์แบบ Full Funnel ที่ครอบคลุมทุกขั้นตอน และรู้จักใช้ประโยชน์จาก AI อย่างเหมาะสม แบรนด์ก็จะสามารถดึงพลังของครีเอเตอร์มาใช้ได้เต็มศักยภาพ และกลายเป็นผู้ชนะในเกมครีเอเตอร์อย่างแท้จริง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ธ.ค. 68)





