
ผลสำรวจล่าสุดวันนี้ (1 ธ.ค.) ระบุว่า ภาคการผลิตของอินเดียเริ่มส่งสัญญาณแผ่วลงในเดือนพ.ย. โดยมีการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 9 เดือน สาเหตุหลักมาจากกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ฉุดให้อุปสงค์หดตัวอย่างหนัก แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไตรมาสก่อนหน้าจะโตถึง 8.2% แต่แนวโน้มไตรมาสนี้ส่อแววสะดุดเพราะนโยบายกีดกันทางการค้า
รายงานซึ่งจัดทำโดย S&P Global ชี้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของอินเดียจากธนาคาร HSBC ปรับตัวลดลงจาก 59.2 ในเดือนต.ค. มาอยู่ที่ 56.6 ในเดือนพ.ย. ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ 57.4 อย่างไรก็ตาม ดัชนียังยืนเหนือระดับ 50.0 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 53 ทำสถิติขยายตัวยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลเมื่อปี 2548 สะท้อนว่าภาคการผลิตยังคงโตอยู่แต่แรงส่งเริ่มแผ่วลง
ปัจจัยลบสำคัญมาจากกำแพงภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กระทบชิ่งมายังยอดคำสั่งซื้อใหม่และกำลังการผลิตในโรงงาน ซึ่งขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. โดยเฉพาะยอดส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ร่วงลงเกือบ 9% หลังจากต้องเจอภาษีลงโทษสูงถึง 50% สถานการณ์นี้ทำให้ยอดสั่งซื้อสินค้าล็อตใหม่จากต่างประเทศชะลอตัวต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี แม้จะได้ยอดขายจากตลาดแอฟริกา เอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลางมาช่วยพยุงไว้บ้างก็ตาม
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำอินเดียของ HSBC มองว่า ตัวเลข PMI ขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย. ยืนยันว่าภาษีสหรัฐฯ คือตัวการฉุดภาคการผลิต ส่งผลให้ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจดิ่งลงหนักเพราะกังวลสถานการณ์ในอนาคตและการแข่งขันที่ดุเดือดจากต่างชาติ ส่วนอานิสงส์จากการลดภาษีสินค้าและบริการ (GST) ในประเทศเริ่มหมดฤทธิ์ ไม่เพียงพอจะชดเชยผลกระทบจากกำแพงภาษีได้ ทำให้การจ้างงานขยายตัวต่ำสุดในรอบ 21 เดือน
อย่างไรก็ดี แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเริ่มลดลง ต้นทุนการผลิตต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ทำให้ราคาสินค้าไม่พุ่งสูง ปัจจัยนี้เปิดช่องให้ธนาคารกลางอินเดียมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 5.25% ในการประชุมสัปดาห์นี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อต่ำ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ธ.ค. 68)





