สธ.ขยายคัดกรองเชิงรุกเตรียมพร้อมผ่อนปรนระยะต่อไป

นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงมาตรการเข้มข้นระยะผ่อนปรนว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ในประเทศถือมีแนวโน้มดี หลังพบจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นเลขหลักเดียวต่อเนื่องมาเป็นสัปดาห์แล้ว

ขณะเดียวกันเมื่อตรวจพบผู้ติดเชื้อแล้วจะดำเนินการค้นหาผู้สัมผัสที่ติดเชื้อควบคู่กันไปเพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาด เช่น ในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดภูเก็ต รวมถึงการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกที่มีอาการน้อย ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะพบผู้ติดเชื้อในสัดส่วนน้อยมากไม่ถึง 1% แต่เราไม่ควรประมาท

เนื่องจากหลังมาตรการผ่อนปรน 6 ประเภทกิจการเมื่อวันที่ 3 พ.ค.63 ยังพบผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการ เช่น ไม่สวมหน้ากาก ยังใช้ชีวิตตามปกติมีการเบียดเสียดในระบบขนส่งสาธารณะ การแย่งซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การแย่งรับของแจก เป็นต้น ทำให้มีเกิดความกังวลว่าจะเกิดการแพร่ระบาดรอบสอง

โดยในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.ได้สั่งการให้มีการตรวจคัดกรองเข้มข้นจากประชาชนกลุ่มเสี่ยงและสถานที่เสี่ยงทั่วประเทศ เพื่อให้คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแต่ละจังหวัดออกมาตรการที่เหมาะสม

สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่เข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่มีคนมารวมตัวกันจำนวนมาก ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์, ผู้ต้องขัง, คนขับรถ, แรงงานต่างด้าว, เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง, เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์, ผู้ค้าในตลาดสด เป็นต้น ส่วนสถานที่เสี่ยง ได้แก่ ตลาด, ชุมชนแออัด ศาสนาสถาน สถานีขนส่ง เป็นต้น

โดยตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา สธ.สามารถตรวจหาเชื้อไปแล้ว 2.3 แสนตัวอย่าง หรือคิดเป็นสัดส่วน 3.4 พันรายต่อประชากร 1 ล้านคน ซึ่ง สธ.ตั้งเป้าภายใน 1-2 เดือนจะตรวจให้ได้ 4 แสนตัวอย่าง หรือ 6 พันรายต่อประชากร 1 ล้านราย ดังนั้น จึงต้องตรวจหาเชื้อเพิ่มอีก 1.7 แสนตัวอย่าง ซึ่งจะกระจายการตรวจไปตามสัดส่วนประชากรทั้ง 77 จังหวัด ซึ่งในกรุงเทพฯ จะมีการตรวจราว 1.5 หมื่นตัวอย่าง

“เราตรวจเพื่อเตรียมป้องกันให้สอดคล้องกับมาตรการผ่อนปรน ไม่ได้ตรวจเพื่อต้องการหาจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่ม เพราะคาดว่าเราจะต้องอยู่กับโรคนี้ไปอีก 1-2 ปี” นพ.สุวรรณชัย กล่าว

ด้าน นพ.อนุพงศ์ สุจริยากุล ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการสำรวจครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 5 พ.ค.63 พบว่าการปฏิบัติตามมาตรการรักษาสุขอนามัยของประชาชนลดต่ำลง ได้แก่ การล้างมือ ลดลงจาก 92% มาอยู่ที่ 61%, การสวมหน้ากากทั้งเจ็บป่วยและไม่เจ็บป่วย ลดลงจาก 93-94% มาอยู่ที่ 74-75% และ การเว้นระยะห่าง ลดลงจาก 94% มาอยู่ที่ 78% ซึ่งสะท้อนถึงการหย่อนยานที่อาจทำให้กลับการแพร่ระบาดกลับมาได้อีก

“ขณะที่ตัวเลขผู้ป่วยลดลง แต่ประชาชนล้างมือลดง ใส่หน้ากากอนามัยน้อยลง เว้นระยะห่างลดลง ตรงนี้ต้องกลับมาเตือนว่าการ์ดต้องไม่ตก เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นมาตรการอนามัยบุคคล ที่สามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 อยากให้ทำทั้งสามสิ่งนี้จนเป็นนิสัย” นพ.อนุพงศ์ กล่าว

ผู้ทรงวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สำหรับมาตรการผ่อนปรน 6 ประเภทกิจการที่ผ่านมานั้น สิ่งที่น่ากังวลคือการเว้นระยะห่างของร้านอาหาร และการออกกำลังกายในพื้นที่สวนสาธารณะ ซึ่งยังไม่สามารถกำหนดรูปแบบที่จะทำให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนอย่างชัดเจน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 พ.ค. 63)

Tags: , , , , ,
Back to Top