
บมจ.คาราบาวกรุ๊ป [CBG] เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 2/68 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทฯ เท่ากับ 800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% (YoY) สะท้อนยอดขายที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนที่ปรับตัวลดลง การควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงจากความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการจัดการเงินทุนหมุนเวียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวมเท่ากับ 5,577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% (YoY) โดยในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองจำนวน 3,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% (YoY) จากยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลัง “คาราบาวแดง” ในประเทศที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เพิ่มขึ้น 27% (YoY) จากส่วนแบ่งทางการตลาดที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยหนุนให้คาราบาวแดงเป็นแบรนด์สินค้าที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี อันเป็นผลจากการที่บริษัทฯ ยังคงดำเนินกลยุทธ์หลัก คงราคาขายปลีกที่ 10 บาท รวมถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การกระจายสินค้าที่ละเอียดยิ่งขึ้นให้มีเครือข่ายที่กว้างขวางและครอบคลุมมากขึ้นผ่านคู่ค้ารายย่อยระดับอำเภอและระดับตำบล และการเพิ่มจำนวนคู่ค้าของสินค้าเครื่องดื่มบำรุงกำลังผ่านพอร์ตสินค้าของคู่ค้ากลุ่มแอลกอฮอล์ เพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่าย
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกจำนวน 2,104 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% (YoY) จากการจัดจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นหลัก ที่ยังคงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายสินค้ากลุ่มอื่นๆ เท่ากับ 189 ล้านบาท ลดลง 28% (YoY) สอดคล้องกับยอดขายของบริษัทคู่ค้า รวมถึงแผนการเปลี่ยนสีน้ำแก้วในการบริหารประสิทธิภาพการผลิตขวดแก้วของ APG
ทั้งนี้รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่บริษัทดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองที่เพิ่มขึ้น โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็นธุรกิจในประเทศและต่างประเทศอัตราส่วนร้อยละ 56:44 โดยรายได้จากการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศจำนวน 1,404 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 3% (YoY) จากการลดลงของรายได้จากการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV เป็นหลัก โดยลดลง 4% (YoY) จากผลกระทบของการจำกัดการผ่านแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างกะทันหัน บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางและวิธีการขนส่งสินค้าไปทางเรือแทน ซึ่งใช้ระยะเวลาในการขนส่งนานกว่าทางบก ส่งผลให้การขนส่งสินค้าในช่วงแรกล่าช้าไปเกินกว่ากำหนด อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทฯ ได้ดำเนินการจัดตั้งโรงงานผลิตสินค้าที่ประเทศกัมพูชา โดยจะดำเนินการให้เร็วขึ้นกว่ากำหนดการเดิม และคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในสิ้นปี 2568 นี้ เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่แน่นอนในการนำเข้าสินค้าในระยะยาว
ทั้งนี้ รายได้จากการส่งออกไปยังเมียนมายังคงเติบโตได้ดีจากปัจจัยด้านฤดูกาลและสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ดี โดยโรงงานผลิตสินค้าที่ประเทศเมียนมา จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3/68 นี้ เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่แน่นอนในการนำเข้าสินค้า โดยบริษัทฯ จะได้ประโยชน์ส่วนเพิ่มจากการลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และเพิ่มโอกาสการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศเมียนมา รวมถึงรายได้จากการส่งออกไปยังเวียดนามที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง 38% (YoY) และเติบโตเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ภายหลังจากการร่วมมือกับคู่ค้ารายใหม่ที่มีความสามารถในการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมในพื้นที่และเข้าใจตลาด บริษัทฯ คาดว่าประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่มีโอกาสสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ส.ค. 68)