
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัดประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ของบมจ. เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ [KCE] ที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
ถึงแม้ว่าอันดับเครดิตของบริษัทจะถูกจำกัดด้วยสถานะทางการตลาดและขนาดของบริษัทก็ตาม การคงอันดับเครดิตสะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่าสถานะทางการเงินของ KCE จะยังคงความแข็งแกร่งและสอดคล้องกับอันดับเครดิตในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า KCE มีผลประกอบการที่มั่นคงและความสามารถในการรองรับหนี้สินเพิ่มเติมที่สูง จากอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำ และน่าจะส่งผลให้บริษัทฯมีความคล่องตัวทางการเงินในการรองรับการลงทุนที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยไม่กระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัท
ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Net Leverage) ของ KCE จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 1.4 เท่าในปี 2570 จากการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเขตอุตสาหกรรมโรจนะ (โครงการโรจนะ) ก่อนที่จะลดลง นอกจากนี้ ยังได้รับอานิสงส์จากแผนการใช้จ่ายลงทุนที่มีความยืดหยุ่นสูง
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
- รายได้ที่ฟื้นตัวในปี 2569: ฟิทช์คาดว่า การปรับปรุงช่องทางจัดจำหน่ายและความต้องการที่คงที่สำหรับผลิตภัณฑ์ High-Density Interconnect (HDI) จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของยอดขายให้เติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 2 ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่ารายได้จะปรับตัวลงประมาณร้อยละ 4 ในปี 2025 จากแรงกดดันจากสงครามทางการค้าระหว่างประเทศ การเติบโตที่ชะลอตัวของภาคยานยนต์และการแข็งค่าของสกุลเงินท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นในรถยนต์ ซึ่งรวมไปถึงระบบ 5G,ระบบช่วยเหลือในการขับขี่แบบอัตโนมัติ (ADAS) และระบบตรวจจับแสงและวัดระยะ (LIDAR) จะช่วยสนับสนุนความต้องการของผลิตภัณฑ์แผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ของ KCE ในระยะกลาง
- อัตราส่วนกำไรที่มั่นคง: ผลประกอบการณ์ของ KCE มีความมั่นคง โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ได้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเป็นร้อยละ 16.9 ในปี 2567 จากร้อยละ 16.6 ในปี 2566 แม้จะเผชิญกับแรงกดดันด้านรายได้ โดยมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตจากการทดแทนแรงงานด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติซึ่งส่งผลให้จำนวนแรงงานที่ต้องจ้างลดลง การปรับสูตรเคมีและการลงทุนด้านการประหยัดพลังงานได้ช่วยชดเชยผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มมากขึ้นและผลกระทบจากสกุลเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น
ฟิทช์คาดว่า ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า EBITDA Margin ของบริษัทจะอยู่ในช่วงร้อยละ 16-18 โดยน่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากการเพิ่มสัดส่วนการขายแผ่นพิมพ์วงจรเกรดพิเศษที่มีอัตรากำไรสูง รวมไปถึงอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้น (Utilisation Rate) และประโยชน์จากการเสริมความแข็งแกร่งของช่องทางจัดจำหน่ายในยุโรปที่บริษัทได้เข้าซื้อกิจการ
- ความสามารถในการรองรับหนี้สินเพิ่มเติมที่แข็งแกร่ง: การที่ KCE ยังคงมีเงินสดมากกว่าหนี้สิน ณ สิ้นปี 2567
- แผนการลงทุนที่ยืดหยุ่น: KCE มีแผนการลงทุนรวมจำนวน 9 พันล้านบาทในช่วงปี 2568-2570 ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับการก่อสร้างโรงงานโรจนะ จำนวนประมาณ 7 พันล้านบาท ซึ่งยังคงมีความยืดหยุ่นสูงและสามารถปรับเปลี่ยนได้ ตามความต้องการของผลิตภัณฑ์ในตลาด
บริษัทได้เลื่อนการก่อสร้างโครงการโรจนะ ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ มีกำลังการผลิต 1 ล้านตารางฟุตต่อเดือนออกไปจาก 2568 เป็น 2569 เนื่องจากความไม่แน่นอนของตลาด อย่างไรก็ตาม หาก KCE เลือกที่จะตัดสินใจลงทุนดังกล่าวค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนจำนวนประมาณ 2.5 พันล้านบาท จะเป็นการลงทุนในเครื่องจักรและการสนับสนุนการผลิต
- ความแข็งแกร่งในฐานะผู้ผลิตแผ่นพิมพ์วงจรฯ รถยนต์: อันดับเครดิตของ KCE สะท้อนถึงการเป็นหนึ่งในสิบผู้ผลิตอันดับแรกของโลกในธุรกิจผลิตแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีวงจรสินค้าที่ค่อนข้างยาวและต้องอาศัยความผูกพันกับลูกค้าในการได้มาซึ่งยอดขายทำให้เป็นธุรกิจที่มีความยากลำบากสำหรับคู่แข่งรายใหม่ในการเข้าสู่อุตสาหกรรม (High Barrier to Entry) เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สำหรับสินค้าบริโภคทั่วไป (Consumer Electronics)
- โอกาสการเติบโตระยะยาว: ฟิทช์คาดว่าอุตสาหกรรมแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก การขยายกำลังการผลิตรถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าและการที่รถยนต์มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น แม้ว่าจะมีความผันผวนของเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาอันใกล้ อุปกรณ์ใหม่ในรถยนต์ เช่นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย และการช่วยเหลือในการขับขี่ และอุปกรณ์ด้านความบันเทิงซึ่งมีอยู่ในรถยนต์ราคาแพง ได้กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์ระดับกลาง
- การกระจุกตัวของรายได้ที่ลดลง: ความพยายามของ KCE ที่จะเพิ่มสัดส่วนสินค้า HDI ซึ่งรวมถึงสินค้ากลุ่มที่ไม่ใช่รถยนต์ จะช่วยลดการกระจุกตัวของรายได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปในอนาคต โดยปัจจุบัน บริษัทฯมีสัดส่วนรายได้จากการขายแผ่นพิมพ์วงจรจากลูกค้ารายใหญ่ 5 รายแรกที่ประมาณร้อยละ 53 ในปี 2567 ซึ่งค่อยๆ ลดลงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากประมาณร้อยละ 65 ในปี 2553
- อัตรากำไรที่มีความอ่อนไหวต่อค่าเงินบาท: ธุรกิจของ KCE มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งส่งผลให้อัตรากำไรมีความผันผวน โดยในฐานะที่เป็นบริษัทผู้ส่งออกรายได้และกำไรจะลดลงเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น เนื่องจากประมาณร้อยละ 85-95 ของรายได้ อยู่ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯและยูโร ในขณะที่ร้อยละ 50-60 ของต้นทุนอยู่ในรูปเงินบาท ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป KCE และ บมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป [EPG] Zอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A-(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ต่างมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ขายสินค้าคนละชนิด EPG
EPG มีการกระจายตัวของธุรกิจและลูกค้าที่มากกว่า KCE โดย EPG มีการกระจายรายได้จากการผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็นและผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม
KCE และ EPG มีขนาดธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน แต่ KCE มี EBITDA Margin และ กระแสเงินสดสุทธิต่อรายได้ (Free Cash Flow Margin) ที่สูงกว่า ด้วยสถานะทางธุรกิจที่เทียบเคียงกันและอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำเช่นเดียว
อันดับเครดิตของทั้งสองบริษัทจึงเท่ากัน
KCE มีอันดับเครดิตที่สูงกว่าบมจ. เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ [SCGJWD] (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ BBB+(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งมีสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) อยู่ที่ ‘bbb(tha)’ โดยสถานะทางธุรกิจของ KCE แข็งแกร่งกว่า SCGJWD เนื่องจากธุรกิจของ KCE มีการแข่งขันที่ต่ำกว่าสืบเนื่องมาจากอุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจการผลิตแผ่นพิมพ์วงจรสำหรับยานยนต์ที่สูงกว่าอุตสาหกรรมบริการโลจิสติกส์ของ SCGJWD นอกจากนี้ KCE ยังมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่าเนื่องจากมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่าส่งผลให้สถานะเครดิตโดยลำพังของ SCGJWD อยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตของ KCE สองอันดับ
อันดับของ SCGJWD ได้รับการปรับขึ้นหนึ่งอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพังที่ ‘bbb(tha)’เนื่องจากมีแรงจูงใจในการสนับสนุนระดับปานกลางจากบริษัทแม่ คือ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย [SCC] สถานะทางธุรกิจของ KCE อ่อนแอกว่าบมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง [SCGP] (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A (tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ, สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ a(tha))ซึ่งเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน SCGP มีขนาดของรายได้และ EBITDA ที่ใหญ่กว่ามากและยังเป็นผู้นำในธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงแม้ว่า KCE มีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่าแต่ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยสถานะทางธุรกิจที่ด้อยกว่า ส่งผลให้ KCE ถูกจัดอันดับต่ำกว่า SCGP หนึ่งอันดับ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- รายได้ยังคงลดลงร้อยละ 4 ต่อปี ในปี 2568 จากนั้นฟื้นตัวขึ้นที่ร้อยละ 2 ในปี 2569 และ 2570 (ปี 2567 ลดลงร้อยละ9) จากความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ฟื้นตัว ขณะที่ความต้องการของแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์เกรดพิเศษยังคงแข็งแกร่ง
- รายได้เติบโตร้อยละ 27 ต่อปี ในปี 2571 จากคำสั่งซื้อสินค้าแผ่นพิมพ์วงจร HDI ซึ่งผลิตที่โรงงานโรจนะ
- EBITDA Margin ตกลงต่ำสุดเป็นร้อยละ 16-17 ในปี 2568 โดยประมาณ (ร้อยละ 16.6 ในปี 2566)จากนั้นค่อยๆปรับตัวดีขึ้นในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าเป็นร้อยละ 18 จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้น (Capacity Utilisation) การเพิ่มสัดส่วนการขายแผ่นพิมพ์วงจรเกรดพิเศษที่มีอัตรากำไรสูง และมาตรการที่เพิ่มประสิทธิผลในการผลิต (Efficiency Improvement Measures)
- แผนการใช้จ่ายลงทุนทั้งหมด สำหรับโครงการโรจนะ และการปรับปรุงด้านเทคโนโลยี จำนวน 9.0 พันล้านบาท ในปี 2568-2570 (ปี 2567 จำนวน 415 ร้อยล้านบาท)
- รักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout Ratio) อยู่ในระดับที่ร้อยละ 80
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยลบ
- กระแสเงินสดที่ต่ำกว่าที่คาด หรือเงินลงทุนที่สูงกว่าที่คาด หรือมีการซื้อกิจการ ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วน EBITDA Net Leverage ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
- EBITDA Margin ต่ำกว่าร้อยละ 13 อย่างต่อเนื่อง
- สถานะทางการตลาดที่อ่อนแอลง หรือการสูญเสียลูกค้ารายสำคัญ
ปัจจัยบวก
- ฟิทช์ไม่คาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า แต่ในระยะยาวอาจมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตได้หาก KCEสามารถขยายขนาดธุรกิจและเพิ่มการกระจายตัวของลูกค้าได้สำเร็จ
สภาพคล่อง ณ สิ้นไตรมาสแรก ของปี 2568 KCE มีหนี้ทั้งหมดที่ 891 ล้านบาท โดยเป็นหนี้ที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีจำนวน 886 ล้านบาท โดยเป็นหนี้เพื่อสนับสนุนการส่งออก จำนวน 821 ล้านบาท ซึ่งน่าจะได้รับการต่ออายุ สภาพคล่องของบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 2.2 พันล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการชำระหนี้ทั้งหมดของบริษัท
KCE เป็นหนึ่งในสิบผู้ผลิตแผ่นพิมพ์วงจรสำหรับยานยนต์รายใหญ่ของโลก โดยรายได้จากแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์คิดเป็นร้อยละ 84 ของรายได้แผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของบริษัทฯ KCE ส่งออกแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ไปทั่วโลก โดยสัดส่วนรายได้ในปี 2567 ร้อยละ 53 มาจากทวีปยุโรป ร้อยละ 21 จากทวีปอเมริกา และร้อยละ 26 จากทวีปเอเชีย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ส.ค. 68)