EXIM BANK คาดแนวโน้มการควบรวมกิจการกลับมาโตหลังโควิด

ชี้กลุ่มเทคโนโลยี-ธุรกิจการแพทย์มาแรง

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) โดยฝ่ายวิจัยธุรกิจ เปิดเผยบทวิจัยเรื่อง “M&A โลก…คาดจะกลับมาโตหลังโควิด-19 คลี่คลาย” โดยระบุว่า การควบรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions : M&A) มีแนวโน้มกลับมาเติบโตหลังโควิด-19 คลี่คลาย

โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีและธุรกิจการแพทย์ที่สอดรับกับเทรนด์ธุรกิจใหม่ (New Normal) โดยขณะนี้หลายบริษัทอยู่ระหว่างชะลอการลงทุนเพื่อปรับกลยุทธ์ M&A ให้สอดรับกับภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป รวมถึงมองหาบริษัทใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพในระยะยาว

ปัจจุบันหลายบริษัททั่วโลกเดินหน้าขยายธุรกิจ ทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านการควบรวมกิจการ (M&A) ซึ่งนับเป็นหนึ่งในช่องทางที่ช่วยให้สามารถต่อยอดธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มูลค่า M&A ของโลกขยายตัวต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และทวีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้นเป็นลำดับ

สะท้อนจากสัดส่วนมูลค่าธุรกรรม M&A ต่อ GDP โลกเพิ่มขึ้นเป็น 4.1% ในช่วงปี 2558-2562 จาก 2.8% ในช่วงปี 2553-2557 อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 มูลค่าธุรกรรม M&A ชะลอลงอย่างมาก เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้หลายบริษัทชะลอการลงทุน และรอดูทิศทางของภาคธุรกิจหลังสถานการณ์คลี่คลาย

ขณะที่ M&A รายอุตสาหกรรมนั้น ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มการเงิน อาหาร/เกษตร และเทคโนโลยี/สื่อสาร การผลิต และพลังงาน เป็น 5 กลุ่มธุรกิจที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับการทำ M&A ของโลก อย่างไรก็ตาม กระแส Tech-Disruption นับเป็นปัจจัยเร่งให้กลุ่มเทคโนโลยีกลายเป็นธุรกิจดาวรุ่งสำหรับการทำ M&A ในระยะถัดไป สะท้อนจากอัตราการขยายตัวของ M&A ในกลุ่มเทคโนโลยีในช่วงปี 2558-2562 ขยายตัวสูงถึง 27% ขณะที่กลุ่มพลังงานที่เคยเป็นกลุ่มที่เติบโตสูง กลับขยายตัวเพียง 2% จากผลกระทบของปัญหาราคาน้ำมันโลกซบเซาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ฝ่ายวิจัย EXIM Bank วิเคราะห์ถึงแนวโน้ม M&A โลก หลังโควิด-19 ว่าผลกระทบจากโควิด-19 และความไม่แน่นอนของปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจ เช่น เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ราคาน้ำมันผันผวน เป็นปัจจัยบั่นทอนให้ M&A ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 หดตัวถึง 38% โดยหลายบริษัทรอดูสถานการณ์หลังโควิด-19 คลี่คลาย เพื่อกำหนดกลยุทธ์ M&A รอบใหม่ หรือมองหาบริษัทที่มีศักยภาพในระยะถัดไป

ทำให้คาดว่า M&A จะกลับมาเติบโตอีกครั้งหลังสถานการณ์คลี่คลาย โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีและธุรกิจการแพทย์ สอดรับกับกระแส Tech-Disruption และเทรนด์ธุรกิจยุคใหม่ หลังโควิด-19

สำหรับภาพรวม M&A ของโลก สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ

  1. M&A ภายในประเทศ มีสัดส่วนราว 70% และ
  2. M&A ระหว่างประเทศ (Cross Border M&A) มีสัดส่วนราว 30%

อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นสัญญาณที่ Cross Border M&A ชะลอตัวลง ล่าสุดในปี 2562 มีสัดส่วนเหลือ 26% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี สาเหตุสำคัญมาจากความไม่แน่นอนของปัจจัยแวดล้อมในการลงทุนระหว่างประเทศ เช่น สงครามการค้า การแยกตัวของสหราชอาณาจักรออกจาก EU (BREXIT) ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ นโยบายปกป้องการค้าภายในประเทศ (Protectionism) เป็นต้น

สำหรับ M&A ของไทยนั้น แม้ Cross Border M&A ของโลกเริ่มเผชิญความท้าทาย แต่บริษัทไทยมีแนวโน้มขยายการลงทุนในต่างประเทศด้วย M&A อย่างต่อเนื่อง เพื่อปลดล็อกจากข้อจำกัดภายในประเทศ เช่น ตลาดขนาดเล็ก ขาดแคลนแรงงาน และเทคโนโลยีไม่ทันสมัย เป็นต้น สะท้อนจากสัดส่วน Cross Border M&A ของไทยเพิ่มขึ้นแตะระดับ 33% ในปี 2562 จาก 17% ในปี 2558 ขณะเดียวกันมูลค่า Deal ก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อ Deal ในปี 2562 จาก 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 หรือเพิ่มขึ้นถึง 2.3 เท่าภายใน 5 ปี ซึ่งเป็นที่คาดว่าการทำ M&A ของไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในระยะถัดไป สอดคล้องกับเทรนด์การออกไปแสวงหาโอกาสธุรกิจใหม่ๆ ในต่างประเทศของบริษัทไทย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ส.ค. 63)

Tags: , , , , , ,
Back to Top