หุ้นไทยเช้านี้แนวโน้มปรับลงตามภูมิภาค หลังทรัมป์ระงับเจรจาแผนกระตุ้นศก.

นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับลงตามตลาดภูมิภาคที่เช้านี้ส่วนใหญ่ติดลบเล็กน้อย รับปัจจัยลบจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ สั่งระงับการเจรจาเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ซึ่งจะทำให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯสะดุด-กระทบบรรยากาศการลงทุนไปด้วย พร้อมให้เกาะติดการประชุมศบศ.วันนี้ เล็งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม โดยให้แนวรับ 1,243 แนวต้าน 1,255 จุด

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบเล็กน้อย เนื่องจากมีปัจจัยลบจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ สั่งการให้คณะบริหารของทำเนียบขาวระงับการเจรจาเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่กับพรรคเดโมแครต ไปจนถึงหลังวันเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พ.ย.นั้น ทำให้มองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจล่าช้าไปถึงต้นปีหน้า ซึ่งทำให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจสะดุดและส่งผลต่อภาพรวมบรรยากาศการลงทุนไปด้วย

ทั้งนี้ คิดว่าการดำเนินงานลักษณะนี้อาจทำให้คะแนนเสียงเทไปที่นายโจ ไบเดน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตมากขึ้น แต่นโยบายของนายไบเดน ที่ต้องการจะเก็บภาษีนิติบุคคลเพิ่ม ก็มีโอกาสที่จะทำให้นักลงทุนลดน้ำหนักลงทุนหุ้นสหรัฐฯ และจะเป็นบวกต่อตลาดเกิดใหม่ และตลาดในเอเชียได้ เพียงแต่ในเดือนตุลาคมนี้ตลาดจะยังมีความผันผวนอยู่ แต่หลังการเลือกตั้งสหรัฐแล้วเสร็จ มองว่าโอกาสการลงทุนในตลาดเอเชียจะดีกว่า

อย่างไรก็ดี วันนี้ให้ติดตามการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) คาดหวังจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติม และติดตามการดีเบตของคู่ชิงรองประธานาธิบดีสหรัฐในวันนี้ด้วย

พร้อมให้แนวรับ 1,243 จุด ส่วนแนวต้าน 1,255 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (6 ต.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,772.76 จุด ลดลง 375.88 จุด (-1.34%), ที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,154.60 จุด ลดลง 177.89 จุด (-1.57%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,360.95 จุด ลดลง 47.68 จุด (-1.40%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 161.28 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 19.14 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 36.72 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 15.08 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 6.07 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.23 จุด
  • ส่วนตลาดหุ้นจีน ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันชาติ
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (6 ต.ค.63) 1,250.15 จุด เพิ่มขึ้น 7.16 จุด (+0.58%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,499.37 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 ต.ค.63
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (6 ต.ค.63) ปิดที่ 40.67 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.45 ดอลลาร์ หรือ 3.7%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (6 ต.ค.) อยู่ที่ 2.22 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 31.28 อ่อนค่า จากดอลล์แข็งนักลงทุนกังวลเศรษฐกิจสหรัฐหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ เบรกการเจรจามาตรการเยียวยาเศรษฐกิจ
  • ศบศ.ถกเพิ่มมาตรการดันเศรษฐกิจ สมช.ชงผ่อนปรนนักธุรกิจต่างชาติเข้าไทย เล็งลดกักตัวน้อยกว่า 14 วัน ตั้งทีมติดตามการเดินทางในไทย “คลัง” เสนอลดหย่อนภาษีซื้อสินค้าสูงสุด 5 หมื่นบาท/คน หวังกระตุ้นบริโภค “สาธารณสุข” เสนอฉากทัศน์ ระบาดรอบใหม่ หนุนทยอยเปิดประเทศ
  • รฟม.ยัน ปรับเกณฑ์ประมูลโครงการรถไฟฟ้า “สายสีส้ม” ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ยังไม่มีผู้ได้รับความเสียหาย ชี้ “บีทีเอส” ฟ้องคุ้มครอง ไม่เรียกค่าชดเชยใดๆ มั่นใจมีหลักฐานชี้แจงได้ทุกประเด็น จ่อฟ้องแพ่งกลับ กรณีทำรัฐเสียหาย คาดต้นปี 64 สรุปผลประมูล
  • แบงก์ชาติเปิดร่างหลักเกณฑ์การคิด “ดอกเบี้ยปรับ” กรณีผิดนัดชำระหนี้ ขีดเส้นเรียกเก็บเพิ่มได้ไม่เกิน 3% หวังช่วยลดภาระลูกหนี้ ลดแรงจูงใจให้กลายเป็นหนี้เสีย คาดมีผลบังคับใช้ 1 เม.ย.64
  • ผู้ส่งออกสินค้าทางเรือปรับคาดการณ์ส่งออกไทยปี 63 เหลือติดลบ 8% จากเดิม 10% หลังตลาดโลกมีสัญญาณฟื้นตัวและยอดคำสั่งซื้อขยายตัวต่อเนื่อง แต่ยังต้องระวังเรื่องกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังอ่อนแอ ต้นทุนขนส่งเพิ่ม ขาดแคลนแรงงานต่างด้าว และค่าเงินทรงตัวที่ 34 บาทต่อเหรียญ

หุ้นเด่นวันนี้

  • KK (บมจ.เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยราคาขาย IPO ที่ 0.88 บาท/หุ้น ด้านบล.เคทีบี (ประเทศไทย) ประเมินหุ้น KK ด้วยราคาเหมาะสมที่ 1.00 บาท อิง 2563 PER 17.5x (ต่ำกว่า 2563 PER ของ TNP ที่ 21.7x แต่ใกล้เคียง 5-year average PER) และ EPS ที่ 0.06 บาท โดยประเมินกำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 13.2 ล้านบาท +14% YoY กลับมาเติบโตในรอบ 3 ปี หนุนโดยมาตรการส่งเสริมราคายางพาราและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่จะช่วยหนุนกำลังซื้อในภาคใต้ และผลบวกจากการขยายสาขาใหม่และการกักตุนสินค้าในช่วงระบาดโควิด-19
    บริษัทฯ ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในพื้นที่หลัก จ.สงขลา และมีสาขาในจังหวัดอื่น ๆ ได้แก่ พัทลุง และสตูล ธุรกิจค้าปลีกดำเนินการผ่านร้านสาขาชื่อ “เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์” (K&K) ปัจจุบันมี 28 สาขา (สงขลา 25 สาขา, พัทลุง 2 สาขา, และสตูล 1 สาขา) หากเทียบกับคู่แข่งใน จ.สงขลา ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน บริษัทนับเป็นผู้นำธุรกิจ Modern-Traditional Trade จากจำนวนสาขามากที่สุด และครอบคลุมในหลายพื้นที่ โดยหลังจากการระดมทุน บริษัทมีแผนขยายสาขาร้าน K&K ในพื้นที่ภาคใต้มากขึ้น
  • OSP (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 43 บาท คาดกำไร Q3/63 ยังอยู่ในระดับทีแข็งแกร่ง +5% Q-Q, +1% Y-Y จากทั้งรายได้ที่เติบโตและ Margin ที่ขยายตัวโดยเฉพาะภาษีสรรพสามิต Functional Drink ที่ลดลง และคาดได้ประโยชน์จากมาตรการ “คนละครึ่ง” ที่จะเริ่มเดือน ต.ค. นี้ รวมถึง “ชิม ช้อป ใช้” ที่คาดจะออกมาช่วงปลายปี พร้อมคาดกำไรปี 2563-2564 โตแกร่ง +4% Y-Y และ +15% Y-Y ตามลำดับ ส่วนด้านราคาหุ้นยัง Laggard กลุ่มเครื่องดื่มอื่นๆมาก คาดมีโอกาสเกิด Stock Rotation และ Outperform กลุ่มฯ
  • TVO (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้าสูงสุด IAA Consensus 40 บาท ได้ sentiment บวกจากราคาถั่วเหลืองพุ่งทำ New high ในรอบ 28 เดือน รวมถึงกากถั่วเหลืองก็เพิ่ม ขึ้นหนุนกำไร Q3/63 และ Q4/63 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (7 ต.ค. 63)

Tags: , , , , , ,
Back to Top