PODCAST: จัดธีมหุ้นเด่นขานรับ “ไบเดน” คว้าผู้นำมะกัน

“Weekly Highlight” สัปดาห์นี้ (9-13 พ.ย.) มาเจาะลึกกับข่าวสารสำคัญ ในรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563

เริ่มต้นกับการสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่แล้ว (2-6 พ.ย.) SET INDEX ปิดที่ระดับ 1,260.08 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.45% จากสัปดาห์ก่อน โดยกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ เพิ่มขึ้น 11.6% รองลงมาคือกลุ่มวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร เพิ่มขึ้น 11.2% และสุดท้ายคือกลุ่มปิโตรเคมี เพิ่มขึ้น 9.9%

เป็นที่ชัดเจนแล้ว..สำหรับผลการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 46 ภายหลังจากนาย โจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต คว้าชัยเหนือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นคู่ท้าชิงจากพรรครีพับลิกัน ด้วยจำนวนผู้แทนคณะเลือกตั้งเกินกว่า 270 เสียง พร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับการเมืองสหรัฐอเมริกาด้วยการเป็นผู้สมัครที่มีผลโหวตจากประชาชนทุบสถิติสูงสุดมากกว่า 74 ล้านเสียง ขณะที่ตามรายงานข่าวได้คาดการณ์ว่า นายโจ ไบเดน และ นางคามาลา แฮร์ริส ว่าที่รองประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐมีกำหนดการจะสาบานเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2564

แม้ว่าคะแนนเสียงของมหาชนชาวอเมริกันจะเทไปให้กับนายโจ ไบเดน เป็นจำนวนมาก แต่ด้วยความไม่แน่นอนจากท่าทีการเดินเกมทางกฎหมายของฝ่ายนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่พร้อมเดินหน้าฟ้องร้องต่อศาลเพื่อปูทางสู่การนับคะแนนใหม่ในหลายรัฐ อาจเป็นชนวนความเสี่ยงกระทบต่อความเชื่อผู้ลงทุนทั่วโลกได้เช่นกัน

นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง ประเมิน SET INDEX ระยะสัปดาห์นี้มีโอกาสแกว่งตัวเป็นขาขึ้น กำหนดกรอบเพดานแนวต้านไว้ 2 ระดับที่ 1,270 จุด และ1,280 จุด และประเมินกรอบแนวรับ 1,250-1,245 จุด แม้ว่าผลการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐคนใหม่จะมีความชัดเจนแล้ว แต่สิ่งต้องจับตาหลังจากนี้คือการรับรองผลการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯอย่างเป็นทางการ เพราะประเด็นการฟ้องร้องอาจส่งผลกระทบต่อความล่าช้าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ นั่นแปลว่าจะส่งผลกระทบต่อการเดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีความล่าช้าตามไปด้วย โดยเฉพาะมาตรการเยียวยาผลกระทบวิกฤติโควิด-19 ในสหรัฐที่มีเม็ดเงินสูงถึง 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความคาดหวังของผู้ลงทุนทั่วโลกว่าจะเป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้หวนกลับเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ยังเป็นสัปดาห์สุดท้ายของการรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/63 แม้ว่าล่าสุดจะรายงานออกมาเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด แต่ก็เริ่มมองเห็นสัญญาณของการฟื้นตัวที่ดีขึ้น สะท้อนจากภาพรวมรายได้รวมบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศผลประกอบการแล้วเติบโต 14-15% เมื่อเทียบกับไตรมาส2/63 ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นรายบริษัท ที่มีผลกำไรในไตรมาส3/63 เติบโตมากกว่าคาด

“เมื่อโจ ไบเดนมาเป็นผู้นำสหรัฐคนใหม่เห็นด้วยระดับหนึ่งว่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ เพราะนโยบายผลักดันคือการขาดดุลเป็นมูลค่ามหาศาล ผ่านนโยบายเยียวยาเศรษฐกิจ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯเป็นผลเชื่อมโยงมายังค่าเงินสกุลดอลลาร์ที่อาจส่งสัญญาณอ่อนค่าอย่างมีนัยสำคัญจากผลกระทบของนโยบายการขาดดุลงบประมาณ ทำให้ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ ช่วงชิงความได้เปรียบความแข็งแกร่งของงบดุลที่ดีกว่าประเทศพัฒนาแล้ว เป็นปัจจัยที่ผู้ลงทุนคาดหวังว่าจะดึงดูดกระแสเงินฟันด์โฟลว์ไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ได้ในช่วงสั้น”

นายวิกิจ กล่าว

สำหรับธีมลงทุนหลังเลือกตั้งสหรัฐฯกรณีหากผลการรับรองการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ยังคงคลุมเครือลากยาวอย่างน้อย 1-2 เดือน และไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ผู้ลงทุนน่าจะหันกลับมาให้น้ำหนักหุ้นอิงกับการบริโภคภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจค้าปลีก ,บรรจุภัณฑ์ ,โลจิสติกส์ในประเทศ ,E-Commerce เช่นหุ้น CRC CPF TQM OSP เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากตั้งรัฐบาลสหรัฐฯได้รวดเร็วต้องหันกลับมาเพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มวัฎจักรเติบโตตามเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มปิโตรเคมี โรงกลั่น และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในสัปดาห์นี้ (9-13 พ.ย.) อยู่ที่ 30.40-30.80 บาทต่อดอลลาร์ฯโดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณความไม่แน่นอนภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดรวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศของไทย ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ สำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย. (เบื้องต้น)นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจเดือนต.ค. ของจีน อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตด้วยเช่นกัน

“เงินบาทแข็งค่าขึ้นผ่านแนว 31.00 บาทต่อดอลลาร์ฯโดยได้รับแรงหนุนในช่วงแรกจากทิศทางการแข็งค่าของเงินหยวนและสกุลเงินอื่นๆในภูมิภาคท่ามกลางแรงกดดันเงินดอลลาร์ฯ หลังมีการคาดการณ์ว่า นายโจ ไบเดน ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯจากพรรคเดโมแครตอาจชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้นอกจากนี้เงินบาทยังมีแรงหนุนจากแรงซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติเช่นกัน โดยตลอดสัปดาห์ซื้อสุทธิ 2.5 หมื่นล้านบาททั้งนี้เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 9 เดือนที่ 30.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ”

บทวิจัยธนาคารกสิกรไทย ระบุ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 พ.ย. 63)

Tags: , , , , , ,
Back to Top