L&E คาดผลงาน Q4/63 ดีขึ้นจาก Backlog 1.2 พันลบ.วางเป้ารายได้ปี 64 โต 15-25%

นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ (L&E) เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2563 คาดว่ามีทิศทางดีขึ้นจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จากงานในมือ (Backlog) ในปัจจุบันมีรอไว้อยู่แล้วที่ 1,200 ล้านบาท ชึ่งจะรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า

“ปีนี้เป็นปีที่มีความท้าท้ายอย่างยิ่ง จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้การลงทุนหรือโครงการต่าง ๆ ยังชะลออยู่ ประกอบกับราคาสินค้ามีการแข่งขันรุนแรง และราคาสินค้าต้องปรับตัวลดลง มีผลต่อยอดขาย แต่อย่างไรก็ดี แนวโน้มธุรกิจไตรมาส 4 มีปัจจัยบวกที่ดีกว่าไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จากธุรกิจใหม่ที่เราผลิตเพื่อส่งไปสหรัฐอเมริกาดีเลย์ ซึ่งจะมีการรับรู้รายได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ ประกอบกับ ภาพรวมผลประกอบการทั้งปี 2563 อาจไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ จากผลกระทบโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก”

นายอนันต์ กล่าว

นายอนันต์ กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2564 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15-25% โดยจะยังคงโมเดลธุรกิจ “Total Lighting Solution Provider” เพื่อสร้างความมั่นใจว่าลูกค้าให้ได้รับบริการที่ดีที่สุด และสามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ภายใต้กระแสเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ บริษัทจะยังคงให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับ IoT ซึ่งบริษัทได้พัฒนาจนกล่าวได้ว่าอยู่ในขั้นแนวหน้าของประเทศ มีผลงานในด้านนี้จำนวนมาก เช่น สมาร์ทซิตี้ที่อำเภอเกาะสมุย โคมไฟถนนอัจฉริยะที่วังจันทร์วัลเลย์ จังหวัดระยอง และโคมไฟฟ้าโซลาร์อัจฉริยะรอบสนามบินจำนวน 22 แห่ง ของกรมท่าอากาศยาน เป็นต้น และมีแนวโน้มว่าธุรกิจด้านนี้กำลังเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมแสงสว่างสำหรับการเกษตรและการปลูกพืช และยังมีกลุ่มสินค้า Entertainment lighting ที่บริษัทได้พัฒนาขึ้น อยู่ในเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ธุรกิจใหม่ที่เข้ามาสนับสนุน ซึ่งเป็นผลจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ส่งผลให้บริษัทรุกตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่านบริษัทพันธมิตร และปัจจุบันยังมีบริษัทอื่นจากประเทศสหรัฐอเมริกาติดต่อให้บริษัทผลิตสินค้าให้โดยตรงซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี เพื่อสอดรับแนวโน้มดังกล่าวที่เน้นการผลิตสินค้าครั้งละจำนวนมาก บริษัทจึงได้ขยายโอกาส เพิ่มโมเดลธุรกิจใหม่ โดยใช้ชื่อว่า “Efficient Value Chain Management” โดยเน้นการลดต้นทุนและควบคุมคุณภาพสินค้าตลอดห่วงโซ่การผลิต

“ปี 2564 เชื่อว่ารายได้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ หากไม่มีวิกฤติโควิด-19 รอบสอง หรือรอบสาม โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากธุรกิจใหม่ “Efficient Value Chain Management” ที่เน้นการผลิตเป็นจำนวนมาก ทำให้ลดต้นทุนและควบคุมคุณภาพสินค้าตลอดห่วงโซ่การผลิต รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง จะทำให้รายได้เราโตในปีหน้า”

นายอนันต์ กล่าว

พร้อมกันนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีนโยบายรักษาวินัยทางการเงิน และจะรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่เหมาะสม ไม่ให้เกิดปัญหาความเสี่ยงจากการลงทุนมากเกินไป และบริษัทยังคงคำนึงถึงประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเป็นหลักพร้อมทั้งการขยายโอกาสทางการตลาดไปยังนานาประเทศ เชื่อว่าจะสร้างการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 พ.ย. 63)

Tags: , , , , ,
Back to Top