นายกฯ กำชับคุมเข้มลักลอบเข้าเมือง-ควบคุมมาตรการ ASQ คลายกังวลประชาชน

นายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และสั่งกำชับเจ้าหน้าที่ประจำเขตแดนเฝ้าระวังไม่ให้มีการลักลอบเข้าเมืองตามช่องทางธรรมชาติอย่างเข้มงวด โดยการลักลอบเข้าเมืองถือเป็นความผิดตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณจังหวัด เชียงราย เชียงใหม่

พร้อมกำชับมาตรการการจัดการ สถานที่กักตัวทางเลือกแห่งรัฐสำหรับชาวต่างชาติ (Alternative State Quarantine : ASQ) ให้ประชาชนเชื่อมั่น มั่นใจ ทั้งนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี

นายประทีป กล่าวว่า กรณีผู้ป่วยหญิงไทยที่ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อโควิด-19 ได้ส่งตัวไปรักษาและติดตามกลุ่มเสี่ยงที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย เพื่อตรวจคัดกรองโรคแล้วกว่า 100 ราย ยังไม่พบว่ามีผู้ป่วยเพิ่มเติม ในส่วนของประชาชนและอาสาสมัครสาธารณสุข ขอให้ช่วยกันดูแลหมู่บ้าน ชุมชน ของตน หากพบคนแปลกหน้า ต้องตรวจสอบว่าเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายหรือไม่ ผ่านกระบวนการควบคุมโรคอย่างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งตามมาตรการป้องกันและสกัดกั้นผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายนั้น รัฐบาลได้ตั้งจุดตรวจ จุดสกัดเพิ่มเติม ดำเนินการตรวจคัดกรองบุคคลอย่างเข้มงวดจึงขอให้ประชาชนไม่ต้องเป็นกังวล แต่เป็นกำลังสำคัญของรัฐในการช่วยกันสอดส่องดูแล

ส่วนมาตรการจัดสถานที่ ASQ นั้น นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยต่อข้อห่วงกังวลของประชาชนในพื้นที่ โดยได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนปฏิบัติหน้าที่อย่างรัดกุม เพื่อความปลอดภัยของทุกคน โดยขณะนี้โรงแรมที่อยู่ในส่วนของ ASQ มีจำนวน กว่า 100 แห่ง ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงขอให้ประชาชนคลายความกังวล ไม่ตระหนก พร้อมท่องเที่ยวอย่างผ่อนคลายในช่วง High Season

นายประทีป กล่าวอีกว่า ไทยดำเนินการตามมาตรการอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด มีการจัดการตามมาตรการที่ดี ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก จนทำให้ประเทศไทยตั้งมั่นได้เร็วในการป้องกัน ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไทยจึงพร้อมเริ่มดำเนินนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลควบคุมสถานการณ์ได้ไม่มีประเด็นน่าห่วงกังวล

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (2 ธ.ค. 63)

Tags: , , , ,
Back to Top