ซิดนีย์พบติดโควิดทำนิวไฮวันที่ 2 รัฐบาลขยายล็อกดาวน์สกัดเชื้อเดลตา

ทางการออสเตรเลียประกาศวันนี้ให้ประชาชนในนครซิดนีย์เตรียมรับมือยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่จะเพิ่มสูงขึ้น หลังพบผู้ติดเชื้อรายวันทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 แม้จะบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตามาหลายสัปดาห์แล้วก็ตาม

ทั้งนี้ นครซิดนีย์พบผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มอีก 279 รายในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่ายอดที่รายงานเมื่อวานนี้ที่ 259 ราย ขณะที่รัฐนิวเซาท์เวลส์พบผู้ติดเชื้อรวมทั้งสิ้น 291 ราย ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกัน เพิ่มขึ้นจาก 262 รายเมื่อวานนี้ และมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ส่งผลให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตจากการระบาดรอบล่าสุดอยู่ที่ 22 ราย โดยทั้งหมดอยู่ในซิดนีย์

“เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มในช่วงไม่กี่วันมานี้และในอนาคต ดิฉันคิดว่ายอดผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้นในอีกไม่กี่วัน และขอให้ทุกคนเตรียมรับมือสถานการณ์หลังจากนี้” นางแกลดิส เบรีจิเกลียน ผู้ว่าการรัฐนิวเซาท์เวลส์ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในซิดนีย์

ทั้งนี้ หนึ่งในข้อกังวลสำคัญยังมาจากการที่ผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นยังคงเดินทางไปมาในชุมชน โดยเฉพาะในย่านชานเมืองฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของซิดนีย์ รายงานยังระบุว่า ผู้ติดเชื้อราว 1 ใน 5 ที่รายงานวันนี้ออกไปนอกบ้านขณะติดเชื้อโควิด

ขณะที่วันนี้ ประชาชนออสเตรเลียกว่า 60% จาก 25 ล้านคนจะเข้าสู่มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดขึ้น เพื่อสกัดการระบาดของโควิด-19 รอบล่าสุด รวมถึงเมืองใหญ่สุดทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ ซิดนีย์ เมลเบิร์น และบริสเบน

อย่างไรก็ดี มาตรการล็อกดาวน์ที่ประกาศมาหลายครั้ง รวมถึงการฉีดวัคซีนที่ล่าช้านั้นส่งผลให้ประชาชนไม่พอใจ โดยมีประชากรออสเตรเลียที่อายุ 16 ปีขึ้นไปได้รับวัคซีนครบสองโดสแล้ว 21% เท่านั้น

ด้านนายสก็อตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการฉีดวัคซีนที่ล่าช้า ระบุว่าสาเหตุนั้นเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงคำแนะนำทางการแพทย์ เนื่องจากข้อกังวลเกี่ยวกับการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันจากวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในออสเตรเลีย และวัคซีนของไฟเซอร์ที่มีไม่เพียงพอ

สถานการณ์การระบาดที่มีไวรัสเดลตาเป็นสายพันธุ์หลักเป็นเหมือนบททดสอบการรับมือวิกฤติโควิด-19 ของออสเตรเลียซึ่งเคยทำสำเร็จมาแล้ว โดยปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อสะสมราว 35,600 ราย และเสียชีวิต 933 ราย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ส.ค. 64)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top