TNITY โชว์ผลงาน H1/64 พลิกเป็นกำไรขานรับรายได้ธุรกิจหลักทรัพย์โต

นายชาญชัย กงทองลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา (TNITY) เปิดเผยว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิงวดครึ่งปี 64 จำนวน 109 ล้านบาท พลิกจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 10.80 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้รวม 469.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้ 225.37 ล้านบาท เป็นผลจากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ที่ทำได้ 273.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.15% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 223.91 ล้านบาท

สำหรับรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ หลักๆ จะมาจากรายได้จากนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น 40.91% มาอยู่ที่ 175.03 ล้านบาท จาก 124.21 ล้านบาทในงวด 6 เดือนแรกปี 63 ซึ่งเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์โดยรวมของตลาดหลักทรัพย์ที่ครึ่งปีแรกปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันขึ้นมาอยู่ที่ 97,471 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.05% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2563 ซึ่งอยู่ที่ 68,617 ล้านบาทต่อวัน

รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ 57.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.50% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 39.33 ล้านบาท เป็นผลจากเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นในระหว่างงวด

นอกจากนี้ บริษัทยังมีกำไรและผลตอบแทนจากเงินลงทุนรวม 108.83 ล้านบาท ในงวดหกเดือนแรกปี 2564 ขณะที่ในงวดเดียวกันของปี 2563 บริษัทมีขาดทุนและผลตอบแทนจากเงินลงทุนรวม 71.35 ล้านบาท และบริษัทยังมีรายได้ดอกเบี้ยจำนวน 55.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.05 % เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 48.69 ล้านบาท

ส่วนผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2/64 บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 42.30 ล้านบาท ลดลง 55.37% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 94.75 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจยังได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตาปลายไตรมาส ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ผันผวนมาก โดยดัชนีลดลงจากสิ้นเดือน มี.ค.64 ที่ 1,587.21 จุด ไปจุดต่ำสุดในเดือน เม.ย.ที่ 1,541.12 จุดและทำจุดสูงสุดในเดือน มิ.ย.ที่ 1,636.56 จุด ก่อนจะกลับมาที่ 1,587.79 จุด ณ สิ้นเดือน มิ.ย.ผลต่อมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันสำหรับไตรมาส 2

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีแรกนักลงทุนรายย่อยยังมีบทบาทสำคัญต่อการลงทุน โดยมีสัดส่วนการลงทุน 48.9% ใกล้เคียงงวดเดียวกันปีก่อนที่ 48% นักลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นมาอยู่ 36.0% จาก 33.6% ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศมีสัดส่วนการซื้อขายลดลงมาอยู่ที่ 6.3% จาก 9.8% สำหรับบัญชีบริษัทหลักทรัพย์มีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ใกล้เคียงกับงวดปีก่อนที่ 8.7%

ด้านฐานะทางการเงิน ณ 30 มิ.ย.64 บริษัทมีสินทรัพย์รวมจำนวน 6,123.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 63 ที่มีจำนวน 5,043.36 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจำนวน 3,079.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2,404.69 ล้านบาทและเงินให้กู้ยืมอื่นจำนวน 1,337.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,001.51 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วน 50.29% และ21.85% ของสินทรัพย์รวมตามลำดับ

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ส.ค. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top