หุ้นไทยปิดเช้าบวก 1.42 จุด ดูดีกว่าตลาดภูมิภาค รับแรงซื้อกลับจากหุ้น Defensive

SET ช่วงเช้าปิดที่ระดับ 1,629.03 จุด เพิ่มขึ้น 1.42 จุด (+0.09%) มูลค่าการซื้อขายราว 41,115.48 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยเช้านี้ผันผวน โดยดัชนีฯแกว่งทั้งในแดนบวก-ลบ แต่ก็ยังดูดีกว่าตลาดภูมิภาคที่ปรับตัวลงในทางเดียว โดยตลาดฯรับแรงกดดันจากกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันปรับตัวลง แต่ก็ยังมีแรงซื้อกลับหุ้น Defensive และหุ้นขนาดใหญ่ที่ลงไปแรงก่อนหน้านี้ก็มีแรงซื้อกลับเข้ามาด้วย นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีนด้วย หลังสหรัฐฯแบน”ไชน่า เทเลคอม”ในสหรัฐฯ สร้างความไม่พอใจให้กับจีน อีกทั้ง GDP งวดไตรมาส 3/64 หลายประเทศเติบโตน้อยลงเมื่อเทียบไตรมาส 2/64 อย่างไรก็ดีระยะกลางยังมีปัจจัยบวกจากที่บริษัทยาทั่วโลกสามารถผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ได้เพื่อให้ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ พร้อมให้ติดตามการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า บ่ายนี้ตลาดฯคงจะแกว่งตัวไปได้ไม่ไกล โดยให้แนวรับ 1,620 แนวต้าน 1,635 จุด

  • ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,629.03 จุด เพิ่มขึ้น 1.42 จุด (+0.09%) มูลค่าการซื้อขายราว 41,115.48 ล้านบาท
  • การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยทำระดับสูงสุด 1,631.38 จุด และระดับต่ำสุด 1,622.56 จุด

น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ผันผวน โดยดัชนีฯเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบในกรอบแคบ แต่ก็ยังดูดีกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะปรับตัวลงในทางเดียว โดยตลาดบ้านเราได้รัแรงกดดันจากหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ลงตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง อย่างไรก็ดียังมีแรงซื้อกลับในกลุ่ม Defensive อย่างหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า และหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับตัวลงไปมากในช่วงก่อนหน้านี้กีแรงซื้อเข้ามาด้วย อย่างหุ้น AOT, CPALL เป็นต้น ทำให้ตลาดฯแกว่งแคบ

ทั้งนี้ แรงกดดันจากปัจจัยนอกประเทศนอกเหนือจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงแล้ว ยังมีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจีน และสหรัฐฯ ที่เริ่มกลับมาขัดแย้งกันอีกครั้ง หลังจากคณะกรรมการด้านการสื่อสารของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FCC) มีมติเพิกถอนใบอนุญาตในการดำเนินธุรกิจของบริษัทไชน่า เทเลคอมในสหรัฐแล้ว เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ สร้างความไม่พอใจให้กับจีน อีกทั้ง GDP งวดไตรมาส 3/64 ในหลายประเทศก็ออกมาเติบโตน้อยลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/64

อย่างไรก็ดี ระยะกลางตลาดฯยังมีปัจจัยบวกจากองค์การสิทธิบัตรยา (MPP) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้บรรลุข้อตกลงด้านสิทธิบัตรยากับบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค และบริษัทริดจ์แบ็ค ไบโอเทราพิวติกส์ โดยบริษัททั้งสองจะอนุญาตให้บริษัทยาทั่วโลกผลิตยาโมลนูพิราเวียร์เพื่อให้ประเทศยากจนสามารถเข้าถึงยาได้ พร้อมให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า

แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ น.ส.ธีรดา กล่าวว่า ตลาดฯคงจะแกว่งตัวไปได้ไม่ไกล โดยมีแนรับ 1,620 จุด ส่วนแนวต้าน 1,635 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่

BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,837.08 ล้านบาท ปิดที่ 11.20 บาท ลดลง 0.40 บาท

PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,695.85 ล้านบาท ปิดที่ 38.25 บาท ลดลง 0.50 บาท

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,339.10 ล้านบาท ปิดที่ 138.50 บาท ลดลง 0.50 บาท

PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,293.23 ล้านบาท ปิดที่ 118.50 บาท ลดลง 3.00 บาท

PTTGC มูลค่าการซื้อขาย 1,074.43 ล้านบาท ปิดที่ 62.50 บาท ลดลง 1.25 บาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ต.ค. 64)

Tags: , ,
Back to Top