KWM ตั้งเป้ารายได้ปี 65 โตกว่า 10% สร้างรายได้ธุรกิจสมุนไพรสกัดราว 50 ลบ.

บมจ.เค.ดับบลิว.เม็ททัล เวิร์ค (KWM) ตั้งเป้ารายได้ปี 65 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ตามทิศทางการเติบโตของตลาดเครื่องมือทางการเกษตร ขณะนี้ธุรกิจร่วมทุนกับบริษัท เฮมพ์บิซ จำกัด ตั้งบริษัท เคดับบลิวเอชบี (KWHB) สร้างโรงงานสกัดพืชสมุนไพรไทย จะสร้างรายได้ปีแรกไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท พร้อมวางเป้าหมายภายใน 5 ปี (65-69) แชร์ส่วนแบ่งทางการตลาดของตลาดสกัดสารสำคัญไม่ต่ำกว่า 10%

นายเอกพันธ์ วนโกสุม ประธานกรรมการบริหาร KWM) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 65 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยได้รับปัจจัยหนุนหลักจากความต้องการเครื่องมือทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากภาพรวมสินค้าทางการเกษตรที่ยังมีราคาทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยปัจจุบันคำสั่งซื้อจากลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากลูกค้ารายใหญ่อย่าง สยามคูโบต้า

ขณะที่ราคาเหล็กต้นทุน บริษัทคาดว่าจะยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัว และเข้ามากระทบทำให้ความต้องการใช้เหล็กปรับตัวสูงขึ้นด้วย ซึ่งบริษัทได้มีการสั่งซื้อเหล็กเข้ามาล่วงหน้าแล้ว สามารถรองรับคำสั่งซื้อต่อเนื่องได้ถึง 6 เดือน

นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าจะมีรายได้จากการบริษัท เคดับบลิวเอชบี จำกัด (KWHB) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่ KWM ถือหุ้น 51% เข้ามาไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท โดย KWHB ได้ตั้งงบลงทุนไว้ราว 40 ล้านบาทสำหรับการก่อสร้างโรงงานและติดตั้งเครื่องสกัด โดยความคืบหน้าล่าสุดขณะนี้อยู่ระหว่างรก่อสร้างโรงงาน และทยอยติดตั้งเครื่องจักรเพื่อสกัดสารสำคัญจากพืชสมุนไพร

เบื้องต้นคาดว่าโรงงานดังกล่าวจะแล้วเสร็จ และสามารถเดินเครื่องสกัดสารสำคัญจากพืชสมุนไพรไทยได้ภายในเดือน ก.พ. 65 พร้อมทั้งคาดว่าจะสามารถนำสารสกัดที่ได้ไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในกลุ่มสินค้าประเภทเครื่องสำอาง อาหารเสริม ยา เครื่องดื่ม และอื่นๆได้ทันที

KWHB ศึกษาการสกัดพืชสมุนไพร อาทิ ฟ้าทะลายโจร มะขามป้อม มะม่วงหาวมะนาวโห่ เพิ่มเติมจากกัญชง-กัญชาที่มีแผนงานอยู่ เพื่อที่จะนำสารสกัดไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยปัจจุบันขนาดตลาดของสารสกัด มากกว่า 10,000-20,000 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทฯ ตั้งเป้าภายใน 5 ปี (65-69) บริษัทตั้งเป้าแชร์ส่วนแบ่งทางการตลาดสกัดสารสำคัญจากพืชไม่ต่ำกว่า 10%

นายเอกพันธ์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในวันนี้ KWM สามารถต่อยอดธุรกิจจากการเป็นผู้นำในการประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในการเกษตรและมีประสบการณ์ด้านงานวิศวกรรมเครื่องกลสู่การเป็นผู้นำด้านการผลิตเครื่องสกัดระบบ SUPERCRITICAL FLUID CO2 EXTRACTION กัญชง-กัญชา และสมุนไพรไทย สัญชาติไทยเป็นรายแรกของประเทศ

จนล่าสุดผนึกกำลังกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรไทยระดับต้นๆของประเทศ ตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจที่ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ (ผลิต-สกัด-จำหน่าย) ซึ่งการต่อยอดธุรกิจดังกล่าวเป็นการตอกย้ำถึงบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ KWM ในการก้าวสู่การเป็นผู้นำการสกัดพืชสมุนไพรไทยแบบครบวงจร ในอนาคต ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานของ KWM รวมถึงบริษัท KWHB มีแนวโน้มเติบโตก้าวกระโดดอย่างมีนัยสำคัญ

ด้าน ดร.เภสัชกรหญิงประคองศิริ บุญคง หัวหน้าทีมวิจัย KWHB กล่าวเสริมว่า บริษัทก่อตั้งโดย กลุ่มแพทย์แผนไทย กลุ่มเภสัชกร นักวิจัย รวมทั้งทีมงานที่ปรึกษาเชี่ยวชาญเฉพาะด้านสมุนไพรไทย มากกว่า 30 ปี ที่มุ่งเน้นให้บริการที่ปรึกษา เสนอแนะ แนวทางสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ ที่ต้องการประกอบกิจการ เกี่ยวกับพืชสมุนไพรไทย กัญชา กัญชง และ กระท่อม ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และ ปลายน้ำ ดังนั้นจึงมองว่า การดำเนินธุรกิจภายใต้ KWHB ในครั้งนี้จะช่วยผลักดันธุรกิจสกัดสารสำคัญจากพืชสมุนไพรไทย รวมถึงการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าจากพืชสมุนไพรไทย ให้แพร่หลายสู่ตลาดโลกและในฐานะหัวหน้าทีมวิจัย เราจะนำจุดเด่นในการนำเทคนิคการสกัดสมุนไพรในรูปแบบต่างๆรวมถึงการนำเทคโนโลยีขั้นสูงและเครื่องจักรที่ทันสมัย มาสกัดสารสกัดที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพรไทย เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดตามความต้องการของลูกค้า และตรงตามความต้องการของตลาด สู่ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มีเอกลักษณ์ และสามารถสร้างความโดดเด่นที่แตกต่างจากท้องตลาด และ BRAND อื่น เพื่อตอบสนองได้ทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมในแต่ละประเภท อาทิ อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง สปา อาหาร อาหารเสริม ยา เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค

ด้านนายวิชัย วรรธนะโสภณ นักวิจัย KWHB กล่าวอีกว่า จากประสบการณ์กว่า 15 ปีที่ได้มีการพัฒนา และวิจัยสารสกัดจากสุมนไพร เพื่อให้ได้สารสกัดสมุนไพรที่ปราศจากสารพิษ ซึ่งเทคนิคการสกัดดังกล่าวไม่มีโลหะหนักปนเปื้อน ทำให้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายร่างกาย และ ไม่มีผลต่อไตโดยปัจจุบันเรามีห้องแลปที่ทันสมัยในการตรวจหาปริมาณสารสกัด โลหะหนักและสามารถระบุได้ถึงถิ่นกำเนิดของสมุนไพรที่นำมาสกัด ทำให้สารสกัดของเรามีมาตรฐาน ปลอดภัย และได้ประสิทธิภาพตรงตามที่ต้องการ

โดยกว่า 2 ปีของงานวิจัยสารสกัดจากใบกระท่อม ภายใต้การวิจัยในเบื้องต้นสารสกัดจากใบกระท่อมของเราออกฤทธิ์เร็วขึ้น นานขึ้น โดยไม่ทำให้เกิดอาการปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน ไม่ทำให้เกิดอาการท้องผูก ไม่เป็นอันตรายต่อไต ไม่ทำให้เลือดเป็นพิษ ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาให้สารสกัดจากใบกระท่อมต่างสายพันธุ์ และสมุนไพรอื่นๆ ที่นอกจากจะทำให้อารมณ์ดี มีพละกำลังแล้ว ยังมีส่วนช่วยบำรุงสมองด้วย

“ปัจจุบันอยู่ระหว่างการกำลังทดสอบสารสกัดสมุนไพร เพื่อฟื้นบำรุงผิวคอที่หย่อนคล้อย และสารสกัดสำหรับสลายไขมันหน้าท้องโดยไม่ต้องออกกำลังกาย ไม่ต้องอดอาหาร และผิวท้องจะไม่หย่อนคล้อยหลังจากที่พุงยุบไปแล้ว”

นายวิชัย กล่าว

อย่างก็ตามในอนาคต ทางทีมวิจัยจะพัฒนาและผลักดันให้สมุนไพรไทยสู่การเป็นสมุนไพรโลก ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์หลอมรวมกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้วยเครื่องมือสกัดสมุนไพรที่ทันสมัย ห้องแลปที่มีมาตรฐานสูง ทีมบุคลากรที่มีประสบการณ์และความชำนาญ ขณะเดียวกันมองว่า งานวิจัยก่อให้เกิดนวัตกรรม และนวัตกรรมจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและทำให้คุณภาพชีวิตของคนดีขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ต.ค. 64)

Tags: , , ,
Back to Top