CPANEL เป้ารายได้ปี 65 โตกว่า 25% ลุยเพิ่มผลิตเท่าตัวหวังอนาคตพุ่งสู่พันลบ.

นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีแพนเนล (CPANEL) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี 65 จะมีโอกาสเติบโตไม่ต่ำกว่า 25% ส่วนหนึ่งเป็นไปตามแนวโน้มการฟื้นตัวของภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 10-15% เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจในประเทศจะทยอยฟื้นตัว สอดคล้องไปกับมาตรการผ่อนปรนกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ทำให้ผู้บริโภคซื้อที่อยู่อาศัยได้คล่องตัวมากขึ้น

เช่นเดียวกับแผนเร่งลงทุนเปิดโครงการใหม่ของผู้ประกอบการอสังหาฯที่เน้นขยายการเติบโตตามหัวเมืองใหญ่ โดยเฉพาะพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่คาดว่าจำนวนประชากรจะเพิ่มขึ้นจากการโครงการเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐ เบื้องต้นคาดการณ์ว่าในอีก 9 ปีข้างหน้าปริมาณประชากรภายในพื้นที่ EEC จะเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพทำกำไรอย่างต่อเนื่องผ่านกลยุทธ์ลดต้นทุนการผลิตด้านต่างๆ และสามารถขยายกำลังการผลิตอย่างน้อย 5-10% ทำให้คาดหวังว่าอัตรากำไรสุทธิมีโอกาสเพิ่มขึ้นแตะ 11% นับเป็นอัตราทำกำไรในภาวะปกติ แม้ว่าที่ผ่านมาบริษัทจะเผชิญกับอุปสรรคจากการระบาดเชื้อโควิด-19 แต่บริษัทก็ยังรักษาความสามารถทำกำไรได้เป็นอย่างดี สะท้อนได้จากอัตรากำไรสุทธิเมื่อปี 62 อยู่ระดับ 5.93% และสิ้นสุดไตรมาส 3/64 ขยับขึ้นมาอยู่ระดับ 9.15%

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/64 บริษัทเชื่อมั่นว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามการรับรู้รายได้จากปริมาณงานในมือ (Backlog) ณ สิ้นสุดไตรมาส 3/64 อยู่ที่ 1,192 ล้านบาท ล่าสุดบริษัทรับงานใหม่จากลูกค้ารายเดิมและลูกค้ารายใหม่ 7 โครงการ อาทิ Motif Townhouse, สัมมากร คู้บอน, พาโน เซน, Victoria, แสนสิริ K- series อ่อนนุช, TMT Land และ กานดา ลำลูกกา คลอง 2 มูลค่ารวมกว่า 199 ล้านบาท อีกทั้งอยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้าประเภทแนวราบและแนวสูงอีกหลายรายคาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆนี้ ทำให้มีความมั่นใจว่าภาพรวมรายได้ปี 64 จะเติบโตได้ตามเป้าหมายใหม่ที่ปรับขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 35% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 63 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 221.16 ล้านบาท

“ความต้องการ Precast ในตลาดมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก สะท้อนจากส่วนแบ่งทางการตลาดของ Precast มีเพียง 3-5% เทียบกับมูลค่าตลาดอสังหาฯที่สูงกว่า 5-6 แสนล้านบาท ซึ่งหากมองถึงสัญญาณของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาฯก็เริ่มเข้ามาให้ความสนใจสั่งสินค้าของบริษัทมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นการช่วยผู้ประกอบการประหยัดด้านต้นทุนการผลิตหลายมิติ นอกเหนือจากกลุ่มลูกค้าแนวราบที่มีความต้องการที่เพิ่มขึ้นแล้ว กลุ่มลูกค้าแนวสูงอย่างคอนโดมิเนียมก็กลับมาใช้สินค้าของบริษัทมากขึ้น เพราะรูปแบบการก่อสร้างคอนโดมิเนียมที่เปลี่ยนไป ขณะที่กลุ่มลูกค้าโรงงานก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนเช่นกัน”

นายชาคริต กล่าว

สำหรับความคืบหน้าของการลงทุนโรงงานผลิต Precast Concrete แห่งที่ 2 ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการศึกษาเพิ่มรายละเอียดเทคโนโลยีใหม่เพื่อช่วยควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากเดิม เบื้องต้นเตรียมนำเสนอเรื่องแผนลงทุนดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทช่วงเดือน ก.พ.65 เพื่อสรุปรายละเอียดอย่างชัดเจน สอดคล้องไปกับแผนเริ่มตอกเสาเข็มก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ภายในไตรมาส 2/65 และคาดว่าแล้วเสร็จไตรมาส 3/66 ส่งผลให้ภาพรวมกำลังการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากโรงงานผลิตแห่งเดิมมีกำลังการผลิตที่ 720,000 ตารางเมตรต่อปี หากโรงงานแห่งใหม่แล้วเสร็จก็จะมีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,400,000 ตารางเมตรต่อปีทันทีรองรับกับความต้องการของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความคาดหวังถึงการเติบโตรายได้ในอนาคตว่ามีความเป็นไปได้สูงที่รายได้บริษัทจะเพิ่มขึ้นไปมากกว่า 1 พันล้านบาทภายใต้สมมติฐานกรณีรับรู้รายได้จากกำลังการผลิตใหม่ของทั้ง 2 โรงงานเต็มปีและมีปริมาณงานของลูกค้าเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่บริษัทวางไว้

“เราเคยพิสูจน์มาแล้วว่าโรงงานแห่งแรกใช้เวลา 1 ปีก็สามารถ Break event ได้แล้ว ส่วนโรงงานแห่งใหม่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆเราเชื่อมั่นว่าเราทำได้ดีกว่าเดิมแน่ๆ วันนี้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นเราแล้ว เห็นสัญญาณแล้วว่ามีออเดอร์มี Backlog มารอแล้ว ทำให้การเติบโตของบริษัทในอนาคตอันใกล้จะมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย”

นายชาคริต กล่าว

สำหรับผลประกอบการ CPANEL งวด 9 เดือนปี 2564 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 20.19 ล้านบาท มากกว่ากำไรทั้งปี 63 อยู่ที่ 13.13 ล้านบาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ธ.ค. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top