TTCL คาดรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Ahlone เฟส 2 กว่า 500 ลบ.ตั้งแต่ปี 68 ไม่รวมงานก่อสร้าง

นางสาวสุรัตนา ตฤณรตนะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บมจ.ทีทีซีแอล (TTCL) เปิดเผยว่า การลงทุนโครงการ Ahlone LNG to Power Project เฟส 2 ในเมียนมา กำลังการผลิตพลังงานความร้อนร่วมขนาด 388 MW มูลค่าลงทุนทั้งหมด 685 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการถือหุ้นของ TTCL ในสัดส่วน 40% และอีก 60% เป็นพันธมิตรญี่ปุ่น 3 ราย โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากเงินทุนของบริษัทและพันธมิตรญี่ปุ่น สัดส่วน 30% ส่วนที่เหลือจะเป็นเงินกู้โปรเจ๊คไฟแนนซ์ จากธนาคารไทยและต่างชาติ สัดส่วน 70%

ทั้งนี้ TTCL จะเข้าไปรับงานก่อสร้างโครงการดังกล่าวทั้งหมด มูลค่า 490 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กำหนดเริ่มก่อสร้างในช่วงต้นปี 65 ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 28 เดือน คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 67 เป็นต้นไป ซึ่งมีสัญญาขายไฟ (PPA) ให้กับการไฟฟ้าเมียนมา 25 ปี ประมาณการรายได้ปีละ 280 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งบริษัทจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนการถือหุ้นอีกราว 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ/ปี พร้อมกับมีรายได้จากการบริหารโครงการเข้ามาเสริมอีกปีละ 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 64 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 40% มาอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 7 พันล้านบาท ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากการทยอยรับรู้งานในมือ (Backlog) ที่มีอยู่ราว 1 หมื่นล้านบาทเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทยังอยู่ระหว่างการเตรียมเข้าประมูลงานใหม่ๆ เพิ่มเติมรวมกว่า 6 หมื่นล้านบาท โดยคาดหวังได้งานราว 1.5 หมื่นล้านบาท

และตั้งแต่ปี 65 เป็นต้นไปบริษัทจะรับรู้ Backlog ที่จะเข้ามาเพิ่มอีก 1.47 หมื่นล้านบาทจากการรับงานก่อสร้างโครงการ Ahlone LNG to Power Project เฟส 2 ทำให้บริษัทงานรับเหมาเข้ามารองรับรายได้ต่อเนื่องไปถึงปี 67

นางสาวสุรัตนา กล่าวว่า ในปี 64 บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 360 ล้านบาท สำหรับการก่อสร้างโครงการโรงงานผลิตแบล็คพาเลท (Black Pelltet) ในประเทศเวียดนาม

ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโครงการเหมืองเกลือ (Rock Salt Project) อยู่ในขั้นตอนของการทำประชาพิจารณ์ตามกฎของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะเริ่มลงทุนได้ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนของการอนุญาตให้ลงทุนโครงการดังกล่าวได้ในช่วงปลายไตรมาส 3/64 หรือต้นไตรมาส 4/64 ซึ่งโครงการดังกล่าวมีมูลค่าลงทุนราว 2.5 พันล้านบาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ม.ค. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top